Dr. Chana
  COMMENTARY ON I,II SAMUEL
  

COMMENTARY ON I, II SAMUEL

Dr. Seung H Chung, D.Min., Th.D.








INTRODUCTION SAMUEL บทนำของหนังสือ

I ชื่อหนังสือ และ ตำแหน่งในพระคัมภีร์เดิม
A. ชื่อหนังสือ שְׁמוּאֵל
LXX
Vulgate

B. ตำแหน่งในพระคัมภีร์เดิม (24 เล่ม)
(1) תורה Tora (5 เล่ม)
(2) נב'א'מ Nebiym (ראשונ'מ4 เล่ม+אחנ'מ4 เล่ม)
(3) כתוב'מKetubim Hagiographa (11 เล่ม ) 3 เล่ม+5 เล่ม+3 เล่ม


II ผู้เขียนหนังสืออิสยาห์ และช่วงเวลาที่เขียน
A. ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
Talmud

B. ผู้เขียนหนังสือ
BC. 950 (Keil & Delitzsch)


III เนื้อหา และ เป้าหมาย
A. เนื้อหา – 115ปี / ชีวประวัติของ 3 คน
1. ซามูเอล 1-8
2. ซาอูล 9-31
3. ดาวิด 1-24

B. เป้าหมาย
1. การตั้งอาณาจักรอิสรเอล และ การเจริญ
2. ดาวิด
3. พระเมสสิยาห์

IV ลักษณะพิเศษ
1. เป็นประวัติศาสตร์ระหว่างสมัยผู่วินิทฉัยและอาณจักรเดียว
2. เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่ดี
3. กษัตริย์ดาวิด และ พระเมสสิยาห์




COMMENTARY OF CHAPTER & VERSES
การแยกออกเป็นส่วนๆ I SAMUEL
I. ชีวประวัติของซามูเอล 1:-8:
A. กำเนิด และ ชีวิตวัยเด็กของซามูเอล 1:-2:
1. กำเนิดของซามูเอล 1:1-2:11
a. ความโศกเศร้าของฮันนาห์ 1:1-8
b. การอธิษฐานของฮันนาห์ 1:9-18
c. การกำเนิดของซามูเอล 1:19-20
d. การถวายเครื่องบูชาของฮันนาห์ 1:21-28
e. การสรรเสริญพระเจ้าของฮันนาห์ 2:1-11

2. ชีวิตวัยเด็กของซามูเอล 2:12-36
a. ความบาปของลูกของเอลี 12-17
b. ชีวิตวัยเด็กของซามูเอล 18-21
c. ความเกเรของลูกเอลี 22-26
e. คำพยากรณ์เกี่ยวกับพงศ์พันธ์เอลีที่ถูกทำลาย 27-36

B. ผู้วินิจฉัยซามูเอล 3:-7:
1. การทรงเรียกของซามูเอล 3:
a. การทรงเรียกของซามูเอล 3:1-9
b. คำพยากรณ์เกี่ยวกับพงศ์พันธ์ของเอลี 10-14
c. การเริมทำงานของซามูเอล 15-21

2. สงครามกับฟิลิสเตีย 4:-6:
a. การยึดหีบพันธสัญญา 4:
(1) การยึดหีบพันธสัญญา 1-11
(2) การทำลายพงศ์พันธ์เอลี 12-22
b. หีบพันธสัญญาและ ภัยพิบัติของพระเจ้า 5:
(1) พระดาโกนล้มลงต่อหน้าหีบพันธสัญญา 1-5
(2) โรคระบาดร้ายแรง 6-12
c. การคืนหีบพันธสัญญา 6:
(1) การตัดสินใจคึนหีบพันธสัญญาของฟีลิสเตีย 1-9
(2) การคืนหีบพันธสัญญาถึงเบธเชเมช 10-21

3. การครอบครองของซามูเอล 7:
a. หีบพันธสัญญาไปถึงเรือนของอามีนาดับ 1-2
b. ซามูเอลนำอิสราเอลให้กลับใจเสียใหม่ 3-4
c. การประชุมใหญ่ที่มิสปาห์ 5-11
d. การเอาชนะพวกฟีลิสเตีย 12-14
e. การปกครองของซามูเอ,ตามพื้นที 15-17

C. ชีวิตบั้นปลายของซามูเอล 8:
1. ความต้องการกษัตริย์ของประชากร 1-9
2. คำเตือนระบบกษัตริย์ 10-18
3. การตัดสินใจให้มีระบบกษัตริย์ 19-22

II. ชีวประวัติของซาอูล 9:-31:
A. การขึ้นบัลลังก์กษัตริย์ของซาอูล 9:-12:
1. การเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์ 9:
a. การพบลาของคุณพ่อของซาอูล 1-10
b. การพบซามูเอลของซาอูล 11-21
c. ซามูเอลต้อนรับซาอูล 22-27

2. การถูกเจิมน้ำมันของซาอูล 10:
a. การถูกเจิมน้ำมันของซาอูล 1-8
b. ซาอูลได้พยากรณ์ 9-16
c. การถูกเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล 17-27

3. ขึ้นบัลลังก์เป็นกษัตริย์ของซาอูล 11:
a. ซาอูลตีอัมโมน 1-11
b. ซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ที่กิลกาล 12-15

4. คำอำลาของซามูเอล 12:
a. ความยุติธรรมของซามูเอล 1-5
b. ไม่ไว้ใจ และ คำเตือนต่ออิสราเอล 6-18
c. คำทักท้ายสุดท้ายของซามูเอล 19-25


B. การเอาชนะ และ ความบาปของซาอูล 13:-16:
1. การสงครามกับพวกฟีลิสเตียของซาอูล 13:-14:
a. การเริ่มต่อสู้กับฟีลิสเตีย 13:
b. การโจมตี และเอาชนะฟีลิสเตียของโยนาธาน 14:1-23
c. การสัญญาที่โง่เขลาของซาอูล 24-46
d. การสู้รบและตระกูลของซาอูล 47-52

2. การสู้รบกับอามาเลข และ ทำบาป 15:
a. การไม่เชื่อฟังของซาอูล 1-9
b. การติเตียนของซามูเอลต่อซาอูล 10-23
c. การแยกของซามูเอลกับซาอูล 24-35

3. การถูกเจิมน้ำมันแก่ดาวิด 16:
a. ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ 1-13
b. ซาอูลเรียกดาวิด 14-23

C. การออกหน้าของดาวิด 17:-27:
1. การมีชัยชนะโกลิอัทของดาวิด 17:-18:
a. การท้าท้ายของโกลิอัท 17:1-11
b. การออกสู้รบกับโกลิอัทของดาวิด 12-30
c. การเอาชนะโกลิอัทของดาวิด 31-58
d. ความสัมพันธ์ระหว่างดาวิดกับโยนาธาน 18:1-5
e. ซาอูลพยายามจะฆ่าดาวิด 6-16
f. ดาวิดเป็นลูกเขยซาอูล 17-30

2. การหนีซาอูลของดาวิด 19:-20:
a. ดาวิดคึนดีกับซาอูลชั่วคราว 19:1-7
b. มีคาลช่วยดาวิดหนีจากซาอูล 8-17
c. ดาวิดหนีไปที่ซามูเอล 18-24
d. ดาวิดขอช่วยจากโยนาธาน 20:1-11
e. ทำสัญญาของดาวิดกับโยนาธาน 12-16
f. โยนาธานช่วยดาวิดหนีจากซาอูล 17-42

3. ดาวิดหนีไปที่เมืองโนบ 21:1-9
4. ดาวิดหนีไปที่เมืองกัท 21:10-15
5. ซาอูลฆ่าปุโรหิตของเมืองโนบที่ช่วยดาวิด 22:
a. ดาวิดหนีไปอดุลลัม และ มิสปาห์ 22:1-5
b. ซาอูลฆ่าปุโรหิตของเมืองโนบที่ช่วยดาวิด 22:6-23

6. ดาวิดหนีจากตามล่าของซาอูล 23:
a. ดาวิดช่วยเมืองเคอีลาห์ 23:1-14
b. การพบดาวิดกับโยนาธานครั้งสุดท้าย 15-18
c. ดาวิดหนีจากตามล่าของซาอูล 19-29

7. การรักษาชีวิตของซาอูลใน ถ้ำอนเกดี 24:
a. ดาวิดไม่ฆ่าซาอูลที่มีโอกาส 1-7
b. ดาวิดแจ้งให้ซาอูลทราบว่าดาวิดช่วย กู้ชีวิตซาอูล 8-15
c. การตอบเสนองของซาอูลต่อดาวิด 16-22
8. ดาวิดรับอาบิกายิลเป็นภรรยาของตน 25:
a. นาบาลปฏิเสธการขอช่วยเหลือของดาวิด 1-13
b. อาบิกายิลพยายามให้นาบาลคึนดีกับดาวิด 14-35
c. ดาวิดรับอาบิกายิลเป็นภรรยาของตน 36-44

9. การรักษาชีวิตของซาอูลในถิ่นกันดารศิป 26:
a. ดาวิดช่วยกู้ชีวิตซาอูล 1-12
b. ซาอูลแสดงขอบคุณดาวิด และกลับ 13-25

10. ดาวิดหนีไปที่กัทอีก 27:

D. ชีวิตสุดท้ายของซาอูล 28:-31:
1. ซาอูลไปหาหญิงคนทรงในเมืองเอนโดร 28:
a. ความลำบากของดาวิด และ ซาอูล 1-7
b. ซาอูลไปหาหญิงคนทรงในเมืองเอนโดร 8-19
c. ซาอูลหมดกำลัง 20-25

2. ดาวิดเข้าอยู่กับฟีลิสเตีย 29:
a. นายทหารฟีลิสเตียไม่ไว้ใจดาวิด 1-5
b. ทหารฟีลิสเตียไม่เลือกดาวิดเข้าร่วมสงคราม 6-11

3. ดาวิดโจมตีอามาเลข 30:
a. อามาเลขโจมตีฟีลิสเตีย 1-6
b. ดาวิดโจมตีอามาเลข 7-31

4. ชีวิตสุดท้ายของซาอูล 31:
a. ชีวิตสุดท้ายของซาอูล 1-6
b. การฝังศพของซาอูล 7-13


COMMENTARY OF CHAPTER & VERSES
I SAMUEL
I. ชีวประวัติของซามูเอล 1:-8:
A. กำเนิด และ ชีวิตวัยเด็กของซามูเอล 1:-2:
1. กำเนิดของซามูเอล 1:1-2:11
a. ความโศกเศร้าของฮันนาห์ 1:1-8
1 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวรามาธาอิมโซฟิม แห่งแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเอลคานาห์บุตรเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรเอลีฮู ผู้เป็นบุตรโทหุ ผู้เป็นบุตรศูฟ คนเผ่าเอฟราอิม 2 ท่านมีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่อฮันนาห์ อีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ เปนินนาห์มีบุตรแต่ฮันนาห์ไม่มี
3 ฝ่ายชายผู้นี้เคยขึ้นไปจากเมืองของตนทุกปี ไปนมัสการและถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าจอมโยธาที่เมืองชิโลห์ ที่นั่นมีบุตรชายสองคนของเอลีชื่อโฮฟนีและฟีเนหัส ผู้เป็นปุโรหิตแห่งพระเจ้า 4 ในวันที่เอลคานาห์ถวายสัตวบูชา ท่านก็ได้แบ่งส่วนให้แก่เปนินนาห์ภรรยาของท่าน และแก่บุตรชายบุตรหญิงทุกคนของนาง 5 ท่านแบ่งให้ฮันนาห์สองส่วน เพราะท่านรักนางมาก แต่พระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนางเสีย 6 เมียคู่กับนางก็ยั่วเย้านางอย่างรุนแรงเพื่อกระทำให้นางระคายเคือง ที่พระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนางเสีย 7 เหตุการณ์ก็เป็นอยู่ดังนี้ปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้าคราวใด เมียคู่ของนางก็เคยยั่วเย้านาง เพราะฉะนั้นนางฮันนาห์จึงร้องไห้ไม่รับประทานอาหาร 8 และเอลคานาห์สามีของนางจึงถามนางว่า ¡°ฮันนาห์ เธอร้องไห้ทำไม และเหตุใดเธอจึงไม่รับประทานอาหาร และทำไมจิตใจของเธอจึงโศกเศร้า สำหรับเธอฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนหรือ¡±
b. การอธิษฐานของฮันนาห์ 1:9-18
9 หลังจากที่ได้รับประทานอาหารและดื่มที่เมืองชิโลห์แล้ว ฮันนาห์ก็ลุกขึ้น ฝ่ายเอลีปุโรหิตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเสาประตูพระวิหารของพระเจ้า 10 นางเป็นทุกข์ร้อนใจมากอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ 11 นางก็บนไว้ว่า ¡°ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงประทานบุตรชายแก่ผู้รับใช้ของพระองค์สักคนหนึ่ง แล้วข้าพระองค์จะถวายเขาไว้แด่พระเจ้าตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย¡±
12 อยู่มาเมื่อนางยังอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่นั้น เอลีก็สังเกตดูปากของนาง 13 ฝ่ายฮันนาห์นั้นนางพูดแต่ในใจริมฝีปากของนางมุบมิบเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงสำคัญว่านางมึนเมา 14 เอลีจึงพูดกับนางว่า ¡°เธอจะเมาไปนานสักเท่าใด ทิ้งเหล้าองุ่นเสียเถิด¡± 15 แต่ฮันนาห์ตอบว่า ¡°มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหญิงที่มีทุกข์หนักดิฉันมิได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย แต่ดิฉันระบายความในใจของดิฉันออกต่อพระเจ้า 16 ขออย่าถือว่าหญิงผู้รับใช้ของท่านเป็นหญิงเลว ที่ดิฉันพูดตลอดมานั้น ก็พูดด้วยความกระวนกระวายและความทุรนทุรายมาก¡± 17 แล้วเอลีก็ตอบว่า ¡°จงกลับไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลโปรดประทานตามที่เจ้าได้อธิษฐานทูลขอต่อพระองค์นั้น¡± 18 และนางก็ตอบว่า ¡°ขอหญิงผู้รับใช้ของท่านประสบความกรุณาปรานีในสายตาของท่านเถิด¡± แล้วหญิงนั้นก็ไปและรับประทานอาหาร และใบหน้าของนางก็ไม่โศกเศร้าอีกต่อไป

c. การกำเนิดของซามูเอล 1:19-20
19 เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นมัสการพระเจ้า แล้วเขาทั้งหลายก็กลับไปบ้านที่รามาห์ และเอลคานาห์ก็สมสู่กับฮันนาห์ภรรยาของตน และพระเจ้าทรงระลึกถึงนาง 20 และอยู่มาเมื่อถึงกาลกำหนด ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และนางเรียกชื่อเด็กนั้นว่าซามูเอล เพราะนางกล่าวว่า ¡°ดิฉันทูลขอมาจากพระเจ้า¡±
d. การถวายเครื่องบูชาของฮันนาห์ 1:21-28
21 ฝ่ายเอลคานาห์ และทุกคนในครอบครัวของท่านขึ้นไปถวายสัตวบูชาประจำปีแด่พระเจ้า และแก้บนของท่าน 22 แต่ฮันนาห์มิได้ขึ้นไปด้วย เพราะนางบอกสามีว่า ¡°ฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กคนนี้หย่านม แล้วฉันจะพาเขาขึ้นไป เพื่อเขาจะได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเจ้า และอยู่ที่นั่นตลอดไป¡± 23 เอลคานาห์สามีบอกนางว่า ¡°จงทำตามที่เธอเห็นชอบเถิด รออยู่จนให้เขาหย่านม ขอเพียงให้พระดำรัสของพระเจ้าสำเร็จเถิด¡± นางนั้นก็คอยอยู่และให้บุตรกินนมของตัว จนนางให้เขาหย่านม 24 และเมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปพร้อมกับวัวผู้สามตัว แป้งหนึ่งเอฟาห์และเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง และนางก็นำเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าที่เมืองชิโลห์ และเด็กนั้นก็ยังเล็กอยู่ 25 แล้วเขาทั้งหลายก็ฆ่าวัวผู้ตัวนั้นและนำเด็กมาหาเอลี 26 นางก็กล่าวว่า ¡°ท่านเจ้าข้า ท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ท่านเจ้าข้า ดิฉันเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่าน และอธิษฐานต่อพระเจ้า 27 ดิฉันอธิษฐานขอเด็กคนนี้ และพระเจ้าประทานตามคำทูลขอของดิฉัน 28 เพราะฉะนั้นดิฉันจึงให้ยืมเขาไว้แด่พระเจ้าตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ ดิฉันจะให้ยืมเขาไว้แด่พระเจ้า¡± และเขาก็นมัสการพระเจ้าที่นั่น

e. การสรรเสริญพระเจ้าของฮันนาห์ 2:1-11
1 นางฮันนาห์ได้อธิษฐานและกล่าวว่า
¡°จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระเจ้า
ในพระเจ้ากำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง
ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรูของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์
2 ¡°ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์ดังพระเจ้า
ไม่มีผู้ใดนอกเหนือพระเจ้า
ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย
3 อย่าพูดโอหังอีกต่อไปเลย
อย่าให้ความจองหองออกมาจากปากของเจ้าเลย
เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของความรู้
การกระทำทั้งหลายพระองค์ทรงเป็นผู้ชั่งตรวจ
4 คันธนูของผู้มีกำลังก็หัก
แต่ผู้ที่ซวนเซก็ได้กำลังมาคาดเอว
5 บรรดาคนที่เคยกินอิ่มก็ต้องออกรับจ้างหากิน
แต่คนที่เคยหิวก็หยุดหิว
คนที่เป็นหมันมีบุตรเจ็ดคน
แต่นางที่มีบุตรมากก็เหี่ยวแห้งไป
6 พระเจ้าทรงประหารและทรงให้มีชีวิต
พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและก็นำขึ้นมา
7 พระเจ้าทรงกระทำให้ยากจนและทรงกระทำให้มั่งคั่ง
พระองค์ทรงกระทำให้ต่ำลงและพระองค์ทรงยกขึ้น
8 พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี
พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขยะ
กระทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย
และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก
เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเจ้า
พระองค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น
9 ¡°พระองค์จะทรงดูแลย่างเท้าของธรรมิกชนของพระองค์
แต่คนอธรรมจะต้องนิ่งอยู่ในความมืด
เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังของตนก็หาไม่
10 ศัตรูของพระเจ้าจะแตกเป็นชิ้นๆ
พระองค์จะทรงเอาฟ้าร้องในสวรรค์ต่อสู้เขา
พระเจ้าจะทรงพิพากษาที่สุดปลายพิภพ
พระองค์จะทรงประทานกำลังแก่พระราชาของพระองค์
และจะทรงเสริมอำนาจของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้¡±
11 แล้วเอลคานาห์ก็กลับไปบ้านที่รามาห์ และเด็กนั้นก็ปรนนิบัติพระเจ้าต่อหน้าเอลีปุโรหิต

2. ชีวิตวัยเด็กของซามูเอล 2:12-36
a. ความบาปของลูกของเอลี 12-17
12 ฝ่ายบุตรทั้งสองของเอลีเป็นคนอันธพาล เขามิได้นับถือพระเจ้า 13 ธรรมเนียมของปุโรหิตที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างนี้ เมื่อมีประชาชนคนใดถวายเครื่องสัตวบูชา คนใช้ของปุโรหิตจะเข้ามา มือถือสามง่าม ขณะเมื่อเนื้อกำลังต้มอยู่ 14 เขาจะเอาสามง่ามแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อทะนน หรือหม้อธรรมดา สามง่ามติดอะไรขึ้นมา ปุโรหิตก็เอาสิ่งนั้นไปเป็นของตน ที่เมืองชิโลห์เขาก็กระทำเช่นนั้นแก่คนอิสราเอลทุกคนที่มาบูชาที่นั่น 15 ยิ่งกว่านั้นอีก ก่อนที่เขาเผาไขมัน คนใช้ของปุโรหิตเคยเข้ามากล่าวแก่ชายผู้กระทำบูชานั้นว่า ¡°ขอเนื้อไปให้ปุโรหิตทอด ท่านไม่รับเนื้อต้มจากเจ้าท่านต้องการเนื้อดิบ¡± 16 และถ้าชายคนนั้นกล่าวแก่เขาว่า ¡°ขอให้เขาเผาไขมันเสียก่อน แล้วจงเอาไปตามชอบใจเถิด¡± เขาจะตอบว่า ¡°ไม่ได้ เจ้าต้องให้เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ให้ข้าก็จะเอา¡± 17 ดังนี้แหละ บาปของคนหนุ่มทั้งสองนั้นจึงใหญ่หลวงนักในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะว่าคนเหล่านั้นได้ดูหมิ่นของถวายแด่พระเจ้า

b. ชีวิตวัยเด็กของซามูเอล 18-21
18 แต่ซามูเอลปรนนิบัติอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เป็นเด็กคนที่คาดเอวด้วยเอโฟดผ้าป่าน 19 ฝ่ายมารดาเคยเย็บเสื้อเล็กๆ นำมาให้เขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีเพื่อถวายเครื่องบูชาประจำปี 20 แล้วเอลีเคยอวยพรเอลคานาห์และภรรยาของเขากล่าวว่า ¡°ขอพระเจ้าประทานลูกๆ แก่ท่านโดยหญิงคนนี้ แทนคนที่นางให้ยืมไว้ปรนนิบัติพระเจ้า¡± แล้วเขาทั้งหลายก็กลับบ้านของตน
21 และพระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนฮันนาห์ และนางก็ได้ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชายสามหญิงสอง และกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

c. ความเกเรของลูกเอลี 22-26
22 ฝ่ายเอลีชรามากแล้ว และท่านได้ยินถึงเรื่องราวทั้งสิ้น ที่บุตรทั้งสองของท่านกระทำแก่คนอิสราเอล เช่นว่าเขาเข้าหาหญิงที่ปรนนิบัติอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบด้วย 23 และท่านก็ว่ากล่าวเขาทั้งสองว่า ¡°ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนั้น เพราะเราได้ยินจากประชาชนทั้งปวงถึงความชั่วซึ่งเจ้ากระทำ 24 ลูกเราเอ๋ย อย่าทำเลยเราได้ยินประชากรของพระเจ้าเล่าแพร่ทั่วไปเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย 25 ถ้ามนุษย์คนใดกระทำผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยให้เขา แต่ถ้ามนุษย์กระทำบาปต่อพระเจ้า ใครจะทูลขอเพื่อเขาได้เล่า¡± แต่เขาทั้งสองหาได้ฟังเสียงบิดาของเขาไม่ เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงประหารเขาเสีย
26 ฝ่ายกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้น และเป็นที่ชอบมากขึ้น เฉพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย

e. คำพยากรณ์เกี่ยวกับพงศ์พันธ์เอลีที่ถูกทำลาย 27-36
27 ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า ¡°พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ¡®เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับพงศ์พันธุ์ของฟาโรห์ 28 และเราได้เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อจะขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องบูชาเพื่อใช้เอโฟดต่อหน้าเรา และเราได้มอบของที่บูชาด้วยไฟ ซึ่งคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า 29 เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาของเรา และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกรายจากอิสราเอลชนชาติของเรา¡¯ 30 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า ¡®เราพูดจริงๆ ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าจะเข้าออกต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์¡¯ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า ¡®ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติและบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น 31 ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึงอยู่แล้ว เมื่อเราจะตัดแขนของเจ้าออกและตัดแขนของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าออก เพื่อจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้า 32 แล้วด้วยสายตาริษยาและด้วยความทุกข์ร้อน เจ้าจะมองดูความมั่งคั่งซึ่งเราจะพอกพูนให้อิสราเอล และจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นนิตย์ 33 คนของเจ้าซึ่งเรามิได้ตัดขาดเสียจากแท่นบูชาของเรานั้น เราจะไว้ชีวิตเพื่อให้ร้องไห้จนตาถลน และให้เจ้ามีจิตใจเศร้าโศกและผลอันเพิ่มพูนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตายเสียเมื่อวัยฉกรรจ์ 34 และสิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า ซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนีและฟีเนหัส ทั้งสองจะสิ้นชีวิตในวันเดียว 35 และเราจะให้ปุโรหิตผู้ซื่อสัตย์ของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างพงศ์พันธุ์มั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์ 36 และทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากราบไหว้เขา ขอเงินเหรียญหนึ่งและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า ¡°ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งปุโรหิตสักทีหนึ่งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประทานอาหารสักหน่อยหนึ่ง¡± ¡¯ ¡±

B. ผู้วินิจฉัยซามูเอล 3:-7:
1. การทรงเรียกของซามูเอล 3:
a. การทรงเรียกของซามูเอล 3:1-9
1 ฝ่ายกุมารซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ต่อหน้าเอลี ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก
2 อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของตน (ตาของท่านเริ่มมืดมัวมองอะไรไม่เห็น) 3 ตะเกียงของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น 4 พระเจ้าทรงเรียกซามูเอลและซามูเอลทูลตอบว่า ¡°ข้าพเจ้าอยู่นี่¡± 5 เขาจึงวิ่งไปหาเอลีและว่า ¡°ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า¡± แต่เอลีตอบว่า ¡°เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนอีก¡± เขาก็ไปนอน 6 และพระเจ้าทรงเรียกขึ้นอีกว่า ¡°ซามูเอลเอ๋ย¡± และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า ¡°ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า¡± แต่เอลีตอบว่า ¡°ลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก¡± 7 ฝ่ายซามูเอลไม่เคยรู้จักพระเจ้า และยังไม่เคยทรงสำแดงพระดำรัสของพระเจ้าแก่เขา 8 และพระเจ้าทรงเรียกซามูเอลครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลี กล่าวว่า ¡°ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า¡± แล้วเอลีจึงหยั่งรู้ได้ว่า พระเจ้าทรงเรียกเด็กนั้น 9 เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า ¡°จงไปนอนเสียเถิด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า ¡®พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่¡¯ ¡± ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน

b. คำพยากรณ์เกี่ยวกับพงศ์พันธ์ของเอลี 10-14
10 และพระเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่ ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆ ว่า ¡°ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย¡± และซามูเอลทูลตอบว่า ¡°ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่¡± 11 แล้วพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า ¡°ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง 12 ในวันนั้นเราจะกระทำให้สิ่งที่เราลั่นวาจาไว้เกี่ยวด้วยเรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีให้สำเร็จเสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด 13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่า เราจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้งสองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม 14 เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลีนั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์¡±

c. การเริมทำงานของซามูเอล 15-21
15 ซามูเอลนอนอยู่จนรุ่งเช้า เขาเปิดประตูพระนิเวศของพระเจ้า และซามูเอลก็กลัวไม่กล้าบอกนิมิตนั้นแก่เอลี 16 เอลีก็เรียกซามูเอลมากล่าวว่า ¡°ซามูเอลบุตรของข้าเอ๋ย¡± และซามูเอลตอบว่า ¡°ข้าพเจ้าอยู่นี่¡± 17 และเอลีถามว่า ¡°เรื่องอะไรนะที่พระองค์ทรงบอกเจ้า ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเราในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงบอกแก่เจ้าก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเจ้า และยิ่งหนักกว่า¡± 18 ดังนั้นซามูเอลจึงบอกทุกอย่างแก่เอลี ไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จากท่านเลย และเอลีว่า ¡°คือพระเจ้าเอง ขอพระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด¡±
19 และซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระเจ้าทรงสถิตกับท่านมิให้วาจาของท่านตกไปเปล่าแต่สักคำเดียว 20 และชนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบาก็ทราบว่า ซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า 21 และพระเจ้าทรงปรากฏอีกที่ชิโลห์ เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชิโลห์ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และถ้อยคำของซามูเอลมาถึงคนอิสราเอลทั้งปวง

2. สงครามกับฟิลิสเตีย 4:-6:
a. การยึดหีบพันธสัญญา 4:
(1) การยึดหีบพันธสัญญา 1-11
1 ฝ่ายคนอิสราเอลได้ยกกองทัพออกไปสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ได้ตั้งค่ายอยู่ข้างเอเบนเอเซอร์ และคนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในเอเฟก 2 คนฟีลิสเตียได้จัดพลเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อสงครามได้ขยายวงออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่คนฟีลิสเตียผู้ได้ฆ่าคนเสียประมาณสี่พันคนในสนามรบ 3 และเมื่อกองทัพกลับมาสู่ค่าย พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็กล่าวว่า ¡°ทำไมพระเจ้าจึงทรงให้เราพ่ายแพ้ต่อคนฟีลิสเตียในวันนี้ ขอเราไปนำหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้ามาให้เราจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาท่ามกลางเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือศัตรูของเรา¡± 4 เขาจึงใช้คนไปที่เมืองชิโลห์ และเขานำหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าจอมโยธา ผู้ประทับที่บัลลังก์พวกเครูบ บุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็อยู่กับหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าที่นั่น
5 เมื่อหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่าย แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็โห่ร้องเสียงดังจนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น 6 และเมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้องดังเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า ¡°เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่ายของคนฮีบรูนั้นหมายความว่าอะไรกัน¡± และเขาทราบว่าหีบแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่ายแล้ว 7 คนฟีลิสเตียก็กลัวเพราะเขากล่าวว่า ¡°พระเจ้าได้เสด็จมาในค่ายแล้ว¡± และเขากล่าวว่า ¡°วิบัติแก่เราทั้งหลายเพราะแต่ก่อนไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้เลย 8 วิบัติแก่เราทั้งหลาย ใครจะช่วยกู้เราจากบรรดาพระอันทรงฤทธานุภาพนี้ได้ พระเหล่านี้เป็นผู้ที่ฆ่าฟันชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัตินานาชนิดในถิ่นทุรกันดาร 9 โอ คนฟีลิสเตียเอ๋ยจงกล้าหาญเถิด จงกระทำตัวเป็นลูกผู้ชาย เพื่อว่าเจ้าจะไม่เป็นทาสของคนฮีบรูดังที่เขาเคยเป็นทาสเจ้า จงกระทำตัวให้เป็นลูกผู้ชายและเข้ารบ¡±
10 เพราะฉะนั้นคนฟีลิสเตียจึงสู้รบและอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเต็นท์ของตน ครั้งนั้นมีการฆ่าฟันกันมาก เพราะทหารราบของอิสราเอลตายเสียสามหมื่นคน 11 และหีบแห่งพระเจ้าก็ถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ถูกฆ่าตาย

(2) การทำลายพงศ์พันธ์เอลี 12-22
12 ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งวิ่งไปจากแนวรบมาถึงชิโลห์ ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าขาดและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา 13 เมื่อเขามาถึงนั้น ดูซี เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวั่นด้วยเรื่องหีบแห่งพระเจ้า และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องขึ้น 14 เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องเช่นนั้นก็ถามว่า ¡°นั่นเสียงอะไรกันโกลาหล¡± แล้วชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี 15 ฝ่ายเอลีมีอายุเก้าสิบแปดปี ตาของท่านแข็งมองอะไรไม่เห็น 16 ชายคนนั้นบอกเอลีว่า ¡°ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าหนีมาจากแนวรบวันนี้¡± เอลีก็ถามว่า ¡°ลูกเอ๋ยเป็นอย่างไรบ้าง¡± 17 ผู้ที่ส่งข่าวนั้นก็ตอบว่า ¡°อิสราเอลได้หนีพวกฟีลิสเตียไปแล้ว มีการฆ่าฟันกันมากท่ามกลางประชาชน บุตรทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตาย และหีบแห่งพระเจ้าถูกยึดไปเสีย¡± 18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบแห่งพระเจ้า เอลีก็หงายหลังจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของท่านก็หัก และท่านสิ้นชีวิตแล้ว เพราะท่านชรามากและตัวก็หนัก ท่านได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
19 ฝ่ายบุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสมีครรภ์กำลังจะคลอดบุตร และเมื่อนางได้ยินข่าวว่าเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และพ่อผัวและสามีของนางก็สิ้นชีวิต นางก็โน้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะความเจ็บปวดบังเกิดขึ้นแก่นาง 20 เมื่อนางกำลังจะตายนั้น พวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้บอกนางว่า ¡°อย่ากลัวเลย เพราะเจ้ามีลูกผู้ชายคนหนึ่ง¡± แต่นางไม่ตอบไม่ฟัง 21 นางให้ชื่อเด็กนั้นว่า อีคาโบด กล่าวว่า ¡°พระสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว¡± เพราะเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และเพราะเรื่องพ่อผัวและสามีของนาง 22 และนางกล่าวว่า ¡°พระสิริได้พรากจากอิสราเอลแล้ว เพราะเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป¡±

b. หีบพันธสัญญาและ ภัยพิบัติของพระเจ้า 5:
(1) พระดาโกนล้มลงต่อหน้าหีบพันธสัญญา 1-5
1 เมื่อคนฟีลิสเตียยึดหีบแห่งพระเจ้าไปนั้น เขานำไปจากเอเบนเอเซอร์ถึงเมืองอัชโดด 2 และคนฟีลิสเตียก็นำเอาหีบแห่งพระเจ้าเข้าไปไว้ในโบสถ์ของพระดาโกน และวางไว้ข้างพระดาโกน 3 และเมื่อประชาชนชาวอัชโดดตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนได้ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเจ้า เขาทั้งหลายจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิม 4 แต่เมื่อเขาทั้งหลายตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่งพระเจ้า เศียรของพระดาโกนและมือทั้งสองก็หักออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน 5 เพราะเหตุนี้เอง ปุโรหิตของพระดาโกนและผู้ที่เข้าไปในโบสถ์ของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูโบสถ์พระดาโกนที่เมืองอัชโดด จนถึงทุกวันนี้

(2) โรคระบาดร้ายแรง 6-12
6 พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือประชาชนอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทรงกระทำให้เขาคร้ามกลัวและทรงเฆี่ยนเขาด้วยฝี ทั้งชาวอัชโดดและเขตแดนของชาวเมืองนั้น 7 และเมื่อชาวเมืองอัชโดดเห็นอย่างนั้น เขาทั้งหลายกล่าวว่า ¡°อย่าให้หีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลอยู่กับเราเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของพระอยู่เหนือเราและเหนือพระดาโกนพระของเราอย่างหนัก¡± 8 เขาจึงใช้คนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งสิ้นของฟีลิสเตีย และกล่าวว่า ¡°เราจะกระทำอะไรกับหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลดี¡± เขาทั้งหลายตอบว่า ¡°ให้เรานำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลอ้อมไปยังเมืองกัท¡± เพราะฉะนั้นเขาจึงนำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไปที่นั่น 9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายนำหีบอ้อมไปเมืองนั้นแล้ว พระหัตถ์ของพระเจ้าก็ต่อสู้เมืองนั้นกระทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างหนัก และทรงเฆี่ยนชาวเมืองนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือให้เกิดฝีขึ้นที่ตัวเขาทั้งหลาย 10 เขาจึงส่งหีบแห่งพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และอยู่มาเมื่อหีบแห่งพระเจ้ามาถึงเมืองเอโครน ชาวเมืองเอโครนร้องว่า ¡°เขาได้นำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลมาให้เรา เพื่อจะฆ่าเราและประชาชนของเราเสีย¡± 11 เพราะฉะนั้นเขาจึงส่งคนไปให้เรียกประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตีย และกล่าวว่า ¡°จงส่งหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไปเสียให้หีบนั้นกลับไปยังที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะไม่ได้ฆ่าเราหรือประชาชนของเราเสีย¡± เพราะว่ามีความวุ่นวายอย่างน่ากลัวตายแพร่ไปทั่วประเทศนั้น พระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่นอย่างหนัก 12 คนที่ไม่ตายก็เป็นฝี และเสียงร้องของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์

c. การคืนหีบพันธสัญญา 6:
(1) การตัดสินใจคึนหีบพันธสัญญาของฟีลิสเตีย 1-9
1 หีบแห่งพระเจ้าอยู่ในถิ่นคนฟีลิสเตียเจ็ดเดือน 2 คนฟีลิสเตียก็เชิญพวกปุโรหิตและพวกโหรมา กล่าวว่า ¡°เราจะกระทำอย่างไรกับหีบแห่งพระเจ้าดี ขอบอกเราว่าจะส่งหีบไปยังที่เดิมด้วยอะไรดี¡± 3 เขาทั้งหลายตอบว่า ¡°ถ้าท่านทั้งหลายจะส่งหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไป ก็อย่าส่งไปเปล่า ถึงอย่างไรก็ขอส่งเครื่องบูชาไถ่ความผิดไปด้วย แล้วท่านทั้งหลายจะหายโรคและท่านทั้งหลายจะทราบด้วยว่าเหตุใดพระหัตถ์นี้จึงไม่หันไปเสียจากท่าน¡± 4 และเขากล่าวว่า ¡°จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์¡± เขาทั้งหลายตอบว่า ¡°ลูกฝีทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัวตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลายและเจ้านายด้วย 5 เพราะฉะนั้นท่านต้องทำรูปฝีของท่านและรูปหนูของท่านซึ่งทำลายแผ่นดิน และท่านทั้งหลายจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล ชะรอยพระองค์จะทรงเบาพระหัตถ์ของพระองค์จากท่านทั้งหลาย ทั้งจากพระของท่านและแผ่นดินของท่าน 6 ทำไมท่านจึงกระทำให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป อย่างที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์ได้กระทำจิตใจของเขาให้แข็งกระด้างนั้น เมื่อพระองค์ทรงกระทำเหตุการณ์สู้เขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็ต้องปล่อยให้ประชาชนไปมิใช่หรือ แล้วเขาทั้งหลายก็จากไป 7 บัดนี้จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับแม่โคคู่หนึ่งซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่โคมาเทียมเกวียนแล้วพรากลูกๆ ของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน 8 จงนำหีบแห่งพระเจ้ามาวางไว้บนเกวียน และวางเครื่องทองคำซึ่งท่านทั้งหลาย ถวายให้พระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดไว้ในหีบข้างๆ แล้วก็ปล่อยให้มันไป 9 และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงแผ่นดินของมันเอง คือทางไปเมืองเบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรงให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงนี้แก่เรา ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่กระทำต่อเราเป็นเคราะห์กรรมที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่เราเอง¡±


(2) การคืนหีบพันธสัญญาถึงเบธเชเมช 10-21
10 คนเหล่านั้นก็กระทำตาม นำเอาแม่โคคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆ ของมันไว้ที่บ้าน 11 และเขาก็วางหีบแห่งพระเจ้าไว้บนเกวียนพร้อมกับหีบหนูทองคำและรูปฝีของเขา 12 แม่โคก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช 13 ฝ่ายชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ที่หุบเขา และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นหีบ เขาก็ชื่นชมยินดีที่ได้เห็น 14 เกวียนนั้นได้เข้ามาในนาของโยชูวาชาวเบธเชเมชและหยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาจึงผ่าไม้เกวียนเป็นฟืน และเอาแม่โคเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเจ้า 15 และคนเลวีก็เชิญหีบแห่งพระเจ้าลง และหีบที่อยู่ข้างๆ ซึ่งมีเครื่องทองคำวางไว้บนก้อนหินใหญ่นั้น และชาวเบธเชเมชก็ถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระเจ้าในวันนั้น 16 และเมื่อเจ้านายทั้งห้าของคนฟีลิสเตียได้เห็นแล้ว เขาก็กลับไปยังเมืองเอโครนในวันนั้น
17 ต่อไปนี้ เป็นรูปฝีทองคำซึ่งคนฟีลิสเตียถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดถวายแด่พระเจ้า รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด เมืองกาซารูปหนึ่ง เมืองอัชเคโลนรูปหนึ่ง เมืองกัทรูปหนึ่ง เมืองเอโครนรูปหนึ่ง 18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองของฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านายทั้งห้าทั้งเมืองที่มีป้อมปราการและชนบทที่ไม่มีกำแพงเมือง หินก้อนใหญ่ซึ่งเขาวางหีบของพระเจ้าลงไว้นั้นก็ยังเป็นพยานอยู่จนทุกวันนี้ที่ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช
19 พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้มองหีบแห่งพระเจ้า พระองค์ได้ทรงประหารเสียเจ็ดสิบคนและห้าหมื่นคนและประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเจ้าทรงประหารประชาชนเสียเป็นอันมาก 20 แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า ¡°ผู้ใดสามารถยืนอยู่ต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าบริสุทธิ์องค์นี้ได้พระองค์จะเสด็จไปจากเราไปหาผู้ใดดี¡± 21 ดังนั้นเขาจึงส่งสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริมกล่าวว่า ¡°คนฟีลิสเตียได้คืนหีบแห่งพระเจ้ามาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบขึ้นไปอยู่กับท่านเถิด¡±

3. การครอบครองของซามูเอล 7:
a. หีบพันธสัญญาไปถึงเรือนของอามีนาดับ 1-2
1 ชาวคีริยาทเยอาริมได้มาเชิญหีบแห่งพระเจ้าขึ้นไปถึงเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และเขาทั้งหลายก็ชำระเอเลอาซาร์บุตรของเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ดูแลหีบแห่งพระเจ้า
2 นับแต่วันที่หีบแห่งพระเจ้าอยู่ที่คีริยาทเยอาริมก็เป็นเวลาช้านานตั้งยี่สิบปี และบรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นก็คร่ำครวญถึงพระเจ้า

b. ซามูเอลนำอิสราเอลให้กลับใจเสียใหม่ 3-4
3 แล้วซามูเอลพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นว่า ¡°ถ้าท่านทั้งหลายจะกลับมาหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงทิ้งพระต่างด้าวและพระอัชทาโรทเสียจากท่ามกลางท่านทั้งหลาย และปักใจของท่านตรงต่อพระเจ้าและปรนนิบัติแต่พระองค์เท่านั้น พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย¡± 4 คนอิสราเอลจึงทิ้งพระบาอัลและพระอัชทาโรท และเขาทั้งหลายปรนนิบัติแต่พระเจ้าเท่านั้น
c. การประชุมใหญ่ที่มิสปาห์ 5-11
5 แล้วซามูเอลกล่าวว่า ¡°จงประชุมคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่เมืองมิสปาห์และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่าน¡± 6 เขาทั้งหลายจึงประชุมกันที่มิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกถวายแด่พระเจ้า และอดอาหารในวันนั้น และกล่าวที่นั่นว่า ¡°เราทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า¡± และซามูเอลก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์ 7 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ เจ้านายแห่งฟีลิสเตียก็ยกขึ้นไปต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้นเขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย 8 และคนอิสราเอลร้องต่อซามูเอลว่า ¡°อย่าหยุดร้องทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อขอพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย¡± 9 ซามูเอลก็เอาลูกแกะอ่อนที่ยังกินนมอยู่ตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาทั้งตัวแด่พระเจ้า และซามูเอลร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล และพระเจ้าทรงตอบท่าน 10 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่นั้น คนฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้จะสู้รบกับอิสราเอล แต่พระเจ้าทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นสู้กับคนฟีลิสเตีย กระทำให้คนฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน จึงพ่ายแพ้แก่อิสราเอล 11 คนอิสราเอลก็ออกจากมิสปาห์ติดตามคนฟีลิสเตียและฆ่าฟันเขาจนไปถึงเมืองเบธคาร์

d. การเอาชนะพวกฟีลิสเตีย 12-14
12 แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน เรียกชื่อศิลานั้นว่า เอเบนเอเซอร์ เพราะท่านกล่าวว่า ¡°พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้¡± 13 ดังนั้นคนฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้ไม่เข้ามาในดินแดนอิสราเอลอีก และพระหัตถ์แห่งพระเจ้าก็ต่อสู้คนฟีลิสเตียตลอดชีวิตของซามูเอล 14 หัวเมืองที่คนฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลนั้น ก็ได้กลับคืนมายังอิสราเอล ตั้งแต่เมืองเอโครนถึงเมืองกัท และอิสราเอลก็ได้ตีดินแดนของหัวเมืองเหล่านี้คืนมาจากมือของคนฟีลิสเตีย ครั้งนั้นมีสันติภาพระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์ด้วย

e. การปกครองของซามูเอ,ตามพื้นที 15-17
15 ซามูเอลได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่ตลอดชีวิตของท่าน 16 และท่านก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปีเป็นประจำไปถึงเมืองเบธเอล กิลกาลและมิสปาห์ และท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอล ในบรรดาเมืองเหล่านั้น 17 แล้วท่านจะกลับมายังเมืองรามาห์ เพราะว่าบ้านของท่านอยู่ที่นั่น ท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่นั่นด้วย ท่านได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น


C. ชีวิตบานไกลของซามูเอล 8:
1. ความต้องการกษัตริย์ของประชากร 1-9
1 อยู่มาเมื่อซามูเอลแก่แล้ว ท่านได้ตั้งพวกบุตรชายของท่านให้วินิจฉัยอิสราเอล 2 บุตรชายหัวปีของท่านชื่อโยเอล และคนที่สองชื่ออาบียาห์ ทั้งสองเป็นผู้วินิจฉัยในเมืองเบเออร์เชบา 3 แต่บุตรชายของท่าน มิได้ดำเนินในทางของท่าน ได้เลี่ยงไปหากำไร เขารับสินบน และบิดเบือนความยุติธรรมเสีย
4 และบรรดาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็พากันมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ 5 และเรียนท่านว่า ¡°ดูเถิด ท่านชราแล้วและบุตรของท่านมิได้ดำเนินในทางของท่าน บัดนี้ขอท่านได้กำหนดตั้งพระราชาให้วินิจฉัยพวกเราอย่างประชาชาติทั้งหลายเถิด¡± 6 แต่เมื่อเขาพูดว่า ¡°ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัยเราทั้งหลาย¡± ก็กระทำให้ซามูเอลไม่พอใจ และซามูเอลได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า 7 และพระเจ้าทรงตอบซามูเอลว่า ¡°จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องที่เขาทั้งหลายขอต่อเจ้า เพราะว่าเขามิได้ละทิ้งเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเราไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือเขา 8 ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำแก่เรา ตั้งแต่วันที่เรานำเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ คือเขาได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น เขาจึงกระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย 9 เหตุฉะนั้นจงฟังเสียงของเขา ขอแต่จงคอยทักท้วงเขา และสำแดงให้ทราบถึงวิธีการของกษัตริย์ผู้ที่จะครอบครองเขาทั้งหลาย¡±

2. คำเตือนระบบกษัตริย์ 10-18
10 ซามูเอลจึงเอาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระเจ้ามาบอกกล่าวแก่ประชาชน ผู้ร้องขอให้ท่านตั้งพระราชา 11 ท่านกล่าวว่า ¡°นี่เป็นวิธีการของพระราชา ผู้ที่จะครอบครองเหนือเจ้า พระราชาจะเกณฑ์บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และกำหนดให้ประจำรถรบ และให้เป็นพลม้า และให้วิ่งหน้ารถรบของพระองค์ 12 แล้วพระองค์จะตั้งเขาให้เป็นนายพัน นายห้าสิบของพระองค์ ให้บางคนไถที่ดินของพระองค์และเกี่ยวข้าว และทำศัสตราวุธและเครื่องใช้ของรถรบ 13 พระองค์จะนำบุตรสาวของเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัวและปิ้งขนม 14 พระองค์จะเอานา สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศที่ดีที่สุดของเจ้า ให้แก่ข้าราชการของพระองค์ 15 พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของข้าวและผลองุ่นของท่าน ให้แก่มหาดเล็กและข้าราชการของพระองค์ 16 พระองค์จะเอาคนใช้ผู้ชายและคนใช้ผู้หญิง และคนหนุ่มๆ ที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ไปทำงานของพระองค์ 17 พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ของท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นทาสของพระองค์ 18 ในวันนั้นท่านจะร้องทุกข์เพราะพระราชาของท่าน ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายเลือกให้ครองท่านทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะไม่ทรงตอบท่านในวันนั้น¡±

3. การตัดสินใจให้มีระบบกษัตริย์ 19-22
19 แต่ประชาชนปฏิเสธไม่ฟังเสียงของซามูเอล เขาทั้งหลายกล่าวว่า ¡°เราไม่ยอม แต่เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา 20 เพื่อเราจะเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลายด้วย และเพื่อพระราชาของเราจะวินิจฉัยเราและนำหน้าเราไปและรบศึกให้เรา¡± 21 และเมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน ท่านก็นำไปทูลพระเจ้าให้ทรงทราบ 22 และพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า ¡°จงฟังเสียงของเขาทั้งหลายเถิด และจงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้เขา¡± แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่อิสราเอลว่า ¡°ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน¡±


II. ชีวประวัติของซาอูล 9:-31:
A. การขึ้นบัลลังก์กษัตริย์ของซาอูล 9:-12:
1. การเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์ 9:
a. การพบลาของคุณพ่อของซาอูล 1-10
1 มีชายคนหนึ่งเผ่าเบนยามินชื่อคีช บุตรของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรของเศโรร์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาหิยาห์ คนเผ่าเบนยามิน เป็นคนร่ำรวย 2 ท่านมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาอูล เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรูปงาม ไม่มีชายคนใดในหมู่คนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าประชาชนทั้งหลายตั้งแต่บ่าขึ้นไป
3 ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรของตนว่า ¡°ลุกขึ้น เอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า เพื่อไปหาลา¡± 4 เขาทั้งสองก็ผ่านแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ผ่านเข้าแผ่นดินชาลิชา เขาหาลาไม่พบ เขาก็ผ่านข้ามแผ่นดินชาอาลิมแต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขาผ่านเข้าแผ่นดินของคนเบนยามิน แต่ก็หาลาไม่พบ
5 เมื่อเขามาถึงแผ่นดินศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ผู้ซึ่งอยู่กับท่านว่า ¡°มาเถิด ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องลา และมาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา¡± 6 แต่คนใช้ตอบท่านว่า ¡°ดูเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เป็นคนที่เขานับถือกันมาก สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นเป็นไปตามที่กล่าวนั้นทุกอย่าง ขอให้เราไปที่นั่น ชะรอยท่านจะบอกเราถึงทางซึ่งเราควรดำเนิน¡± 7 แล้วซาอูลพูดกับคนใช้ของท่านว่า ¡°แต่ดูเถิด ถ้าเราไปเราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง¡± 8 คนใช้ตอบซาอูลอีกว่า ¡°ผมมีเงินอยู่หนึ่งเสี้ยวเชเขลและผมจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อจะบอกหนทางให้แก่เรา¡± 9 (ในอิสราเอลสมัยเดิม เมื่อคนใดจะไปทูลถามพระเจ้า เขากล่าวว่า ¡°มาเถิด ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน¡± เพราะผู้ที่ในสมัยนี้เราเรียกว่าผู้เผยพระวจนะนั้น ในสมัยเดิมเขาเรียกว่าผู้ทำนาย) 10 และซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า ¡°พูดดีนี่ มาให้เราไปกันเถิด¡± เขาทั้งสองจึงไปที่เมืองซึ่งคนของพระเจ้าอยู่


b. การพบซามูเอลของซาอูล 11-21
11 ขณะเมื่อเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น เขาพบพวกผู้หญิงสาวออกมาตักน้ำ จึงถามว่า ¡°ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ¡± 12 เธอทั้งหลายตอบว่า ¡°อยู่นี่ ดูเถิด ท่านเพิ่งขึ้นหน้าท่านไป จงรีบเข้าเถิดท่านเพิ่งมาในเมืองเมื่อกี้นี้ เพราะว่าวันนี้ประชาชนทำการถวายสัตวบูชา ณ ปูชนียสถานสูง 13 พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านทั้งสองจะพบก่อนที่ผู้ทำนายขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถานสูง เพราะว่าประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรแก่เครื่องสัตวบูชา ภายหลังผู้ที่ได้รับเชิญจึงรับประทาน ขึ้นไปเถิด ท่านทั้งสองจะพบทันที¡± 14 เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาเข้าไปในเมือง ดูเถิด ซามูเอลกำลังเดินออกมาจะไปยังปูชนียสถานสูงนั้น
15 พระเจ้าทรงสำแดงแก่ซามูเอลแล้วในวันก่อนวันที่ซาอูลมาถึงว่า 16 ¡°พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดนเบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา เขาจะช่วยประชากรของเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้มองดูความทุกข์ใจแห่งประชากรของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของเขามาถึงเรา¡± 17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูลเข้าแล้ว พระเจ้าทรงบอกท่านว่า ¡°นี่เป็นชายคนที่เราได้พูดกับเจ้าแล้วนั้น เขาเป็นผู้ที่จะปกครองเหนือประชากรของเรา¡± 18 แล้วซาอูลก็เข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตูและกล่าวว่า ¡°ขอบอกข้าพเจ้าหน่อยว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน¡± 19 ซามูเอลตอบซาอูลว่า ¡°ฉันเป็นผู้ทำนาย จงเดินขึ้นหน้าฉันไปยังปูชนียสถานสูงนั้น เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับฉัน และพรุ่งนี้เช้าฉันจึงจะให้ท่านไปและฉันจะบอกทุกอย่างที่ข้องอยู่ในใจของท่านแก่ท่าน 20 ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้นอย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านดอกหรือ¡± 21 ซาอูลตอบว่า ¡°ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเผ่าเบนยามินดอกหรือ เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าไม่ใช่ตระกูลที่ด้อยที่สุดในเผ่าเบนยามินดอกหรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้เล่า¡±

c. ซามูเอลต้อนรับซาอูล 22-27
22 แล้วซามูเอลก็พาซาอูลกับคนใช้ของท่านเข้าไปในห้องโถง ให้นั่งในตอนต้นที่นั่งสำหรับผู้ที่รับเชิญ ซึ่งมีประมาณสามสิบคน 23 และซามูเอลพูดกับคนครัวว่า ¡°จงนำส่วนที่ฉันได้มอบให้ ซึ่งฉันบอกว่า ¡®เก็บไว้ต่างหาก¡¯ นั้นมา¡± 24 คนครัวจึงนำเอาส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลกล่าวว่า ¡°ดูเถิด สิ่งที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถิด เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงชั่วโมงที่กำหนดไว้ ฉันได้เชิญประชาชนมาแล้ว¡±
ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น 25 และเมื่อเขาทั้งหลายลงมาจากปูชนียสถานสูงเข้ามาในเมือง ท่านสนทนากับซาอูลบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน 26 และเขาทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่ และอยู่มาเมื่อสว่างแล้ว ซามูเอลก็เรียกซาอูลผู้อยู่บนดาดฟ้าว่า ¡°จงลุกขึ้นเถิด เพื่อฉันจะส่งท่านไปตามทางของท่าน¡± ซาอูลก็ลุกขึ้น ท่านทั้งสองก็เดินออกไปที่ถนน ทั้งท่านและซามูเอล
27 เมื่อเขาทั้งหลายกำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า ¡°จงบอกคนใช้ให้เดินล่วงหน้าเราไปก่อน และเมื่อเขาเดินพ้นไปแล้วท่านจงหยุดที่นี่ก่อน เพื่อฉันจะได้แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ¡±


2. การถูกเจิมน้ำมันของซาอูล 10:
a. การถูกเจิมน้ำมันของซาอูล 1-8
1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า ¡°พระเจ้าทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอลประชากรมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ 2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ¡®ลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว นี่แน่ะ บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่านกล่าวว่า ¡°เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี¡¯ ¡± 3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไปถึงต้นก่อหลวงตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัวอีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง 4 เขาทั้งหลายจะคำนับท่านและมอบขนมให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของเขา 5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึง กิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจากปูชนียสถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะเรื่อยมา 6 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านจะเผยพระวจนะกับคนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน 7 เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน 8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจนฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร¡±

b. ซาอูลได้พยากรณ์ 9-16
9 เมื่อซาอูลหันหลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้าทรงประทานจิตใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่านและพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา 11 และเมื่อคนทั้งหลายที่รู้จักท่านมาก่อนเห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า ¡°อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ¡± 12 ชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นตอบว่า ¡°และบิดาของเขาทั้งหลายคือใคร¡± ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า ¡°ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ¡± 13 เมื่อท่านเผยพระวจนะสิ้นลงแล้วท่านก็มายังปูชนียสถานสูง
14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า ¡°เจ้าไปไหนมา¡± และเขาตอบว่า ¡°ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล¡± 15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า ¡°ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้างขอเล่าให้ฟัง¡± 16 และซาอูลตอบลุงของเขาว่า ¡°เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว¡± แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย


c. การถูกเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล 17-27
17 ฝ่ายซามูเอลจึงเรียกประชาชนมาประชุมต่อพระเจ้าที่มิสปาห์ 18 และท่านกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ¡°พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ¡®เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของราชอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับเจ้า¡¯ 19 แต่วันนี้ท่านละทิ้งพระเจ้าของท่าน ผู้ซึ่งช่วยท่านให้พ้นจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และท่านทั้งหลายกล่าวว่า ¡®เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา¡¯ เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าเฝ้าพระเจ้าตามเผ่าของท่านและตามตระกูลของท่าน¡±
20 แล้วซามูเอลก็นำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และจับฉลากได้เผ่าเบนยามิน 21 ท่านก็นำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูล จับฉลากได้ตระกูลมัตรี และจับฉลากได้ซาอูลบุตรคีช แต่เมื่อเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ 22 เขาจึงทูลถามพระเจ้าต่อไปว่า ¡°ชายคนนั้นมาที่นี่หรือยัง¡± และพระเจ้าตรัสว่า ¡°ดูเถิด เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระ¡± 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาเขามาจากที่นั่น และเมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าขึ้นไป 24 ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า ¡°ท่านเห็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้วหรือ ในท่ามกลางประชาชนไม่มีใครเหมือนท่าน¡± และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า ¡°ขอพระราชาทรงพระเจริญ¡±
25 แล้วซามูเอลจึงบอกกับประชาชนให้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตำแหน่งพระราชา และท่านบันทึกไว้ในหนังสือและวางถวายแด่พระเจ้าแล้วซามูเอลก็ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนทุกคน 26 ซาอูลก็กลับไปยังบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย และมีนักรบซึ่งพระเจ้าทรงดลจิตใจไปกับท่านด้วย 27 แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า ¡°ชายคนนี้จะช่วยเราได้อย่างไร¡± และเขาทั้งหลายก็ดูหมิ่นท่าน ไม่นำเครื่องบรรณาการมาถวาย แต่ท่านก็นิ่งเสีย

3. ขึ้นบัลลังก์เป็นกษัตริย์ของซาอูล 11:
a. ซาอูลตีอัมโมน 1-11
1 ฝ่ายนาหาชคนอัมโมนได้ยกขึ้นไปตั้งค่ายสู้เมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชาวเมืองยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า ¡°ขอทำพันธสัญญากับพวกข้าพเจ้าทั้งหลายและข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมปรนนิบัติท่าน¡± 2 แต่นาหาชคนอัมโมนกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ¡°เราจะกระทำพันธสัญญากับเจ้าทั้งหลายตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือเราจะทะลวงตาขวาของเจ้าเสียทุกคนให้เป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง¡± 3 ฝ่ายพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชกล่าวแก่ท่านว่า ¡°ขอผ่อนผันให้ข้าพเจ้าสักเจ็ดวัน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ส่งผู้สื่อสารไปให้ทั่วขอบเขตอิสราเอลแล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมมอบตัวไว้ให้แก่ท่าน¡± 4 เมื่อผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์เมืองของซาอูล เขาทั้งหลายก็รายงานเรื่องราวให้เข้าหูของประชาชนและประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เสียงดัง
5 ดูเถิด ซาอูลต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง และซาอูลถามว่า ¡°ประชาชนเป็นอะไรไป เขาจึงร้องไห้¡± ดังนั้นเขาจึงเรียนท่านให้ทราบถึงข่าวของพวกยาเบช 6 เมื่อท่านได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตกับซาอูลอย่างมากและ ความโกรธของท่านเกิดขึ้นอย่างรุนแรง 7 ท่านจึงเอาโคมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอลโดยมือของผู้สื่อสารกล่าวว่า ¡°ผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ออกมาตามซาอูลและซามูเอล จะกระทำอย่างนี้แก่โคของเขา¡± และความเกรงกลัวพระเจ้าก็มาเหนือประชาชน เขาทั้งหลายพากันออกมาเป็นใจเดียวกัน 8 เมื่อซาอูลตรวจพลอยู่ที่เบเซก นับคนอิสราเอลได้สามแสนคน และชายเผ่ายูดาห์ได้สามหมื่นคน 9 เขาจึงบอกแก่ผู้สื่อสารที่มานั้นว่า ¡°ท่านทั้งหลายจงบอกแก่ชาวยาเบชกิเลอาดว่า ¡®พรุ่งนี้เวลาแดดร้อนท่านทั้งหลายจะได้รับการช่วยกู้¡¯ ¡± เมื่อผู้สื่อสารกลับมาบอกพวกยาเบช เขาทั้งหลายก็มีความยินดี 10 ดังนั้นชาวยาเบชจึงว่า ¡°พรุ่งนี้เราจะมอบตัวของเราไว้ให้แก่ท่าน ท่านจงกระทำแก่เราตามที่ท่านเห็นควร¡± 11 พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็จัดพลออกเป็นสามกองทัพยกเข้ามากลางค่ายในยามสามและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดดจัด ผู้ที่รอดชีวิตไปได้ก็กระจัดกระจายไปรวมกันไม่ได้สักคู่เดียวเลย

b. ซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ที่กิลกาล 12-15
12 แล้วประชาชนจึงเรียนซามูเอลว่า ¡°คนที่พูดว่า ¡®ซาอูลจะปกครองเหนือพวกเราหรือ¡¯ นั้น มีใครบ้างจงนำคนเหล่านั้นออกมา เราจะได้ฆ่าเขาเสีย¡± 13 แต่ซาอูลกล่าวว่า ¡°ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระเจ้าทรงช่วยกู้คนอิสราเอล¡± 14 แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า ¡°มาเถิด ให้เราพากันไปยังกิลกาลและรื้อฟื้นเรื่องราชอาณาจักรที่นั่นอีก¡± 15 ประชาชนทั้งปวงจึงขึ้นไปยังกิลกาล และที่นั่นเขาทั้งหลายก็ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ต่อพระพักตร์พระเจ้าที่กิลกาล แล้วเขาทั้งหลายถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระเจ้า ซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่นั่น


4. คำอำล่ของซามูเอล 12:
a. ความยุติธรรมของซามูเอล 1-5
1 ซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงว่า ¡°ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ฟังเสียงของท่านทุกเรื่อง ซึ่งท่านได้บอกข้าพเจ้าและได้แต่งตั้งพระราชาเหนือท่านทั้งหลายแล้ว 2 และดูเถิด พระราชาก็ดำเนินอยู่ต่อหน้าท่าน ส่วนข้าพเจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และดูเถิด บุตรของข้าพเจ้าก็อยู่กับท่านทั้งหลายและข้าพเจ้าดำเนินอยู่ต่อหน้าท่านตั้งแต่หนุ่มๆ มาจนทุกวันนี้ 3 ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าต่อพระเจ้า และต่อท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบโคของผู้ใดบ้างหรือ หรือข้าพเจ้าเอาลาของผู้ใดไปบ้าง หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อผู้ใด ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของผู้ใดซึ่งจะกระทำให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป ขอกล่าวมาและข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน¡± 4 เขาทั้งหลายกล่าวว่า ¡°ท่านมิได้ฉ้อเราหรือบีบบังคับเราหรือรับสิ่งใดไปจากมือของผู้ใด¡± 5 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ¡°พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า¡± และเขาทั้งหลายกล่าวว่า ¡°พระองค์ทรงเป็นพยานแล้ว¡±

b. ไม่ไว้ใจ และ คำเตือนต่ออิสราเอล 6-18
6 และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า ¡°พระเจ้าทรงเป็นผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และทรงนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ 7 ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ข้าพเจ้าจะขอเสนอคดีของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า เกี่ยวด้วยพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงช่วย ซึ่งพระองค์ทรงกระทำแก่ท่านทั้งหลายและแก่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย 8 เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของท่านร้องต่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงใช้โมเสสกับอาโรน ผู้ได้นำบรรพบุรุษของท่านออกจากอียิปต์และทำให้เขามาอาศัยอยู่ในที่นี้ 9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของยาบินกษัตริย์แห่งเมืองฮาโซร์และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ในมือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของท่าน 10 และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าว่า ¡®ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและพระอัชทาโรททั้งหลาย แต่บัดนี้ขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นมือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้งหลายจะปรนนิบัติพระองค์¡¯ 11 และพระเจ้าทรงใช้เยรุบบาอัล และเบดานและเยฟธาห์และซามูเอล และช่วยกู้ท่านทั้งหลายออกจากมือศัตรูทุกด้านและท่านทั้งหลายอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 12 และเมื่อท่านทั้งหลายเห็นนาหาชกษัตริย์คนอัมโมนมาต่อสู้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ¡®ไม่ได้ แต่ต้องมีกษัตริย์ปกครองเหนือเรา¡¯ ถึงแม้ว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของท่าน 13 บัดนี้ จงดูพระราชาที่ท่านทั้งหลายได้เลือก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ร้องขอ ดูเถิด พระเจ้าทรงตั้งพระราชาไว้เหนือท่านแล้ว 14 ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายก็ดีแล้ว 15 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าแต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้าจะต่อสู้ท่านทั้งหลายและบรรพบุรุษของท่าน 16 เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ คอยดูเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ต่อไปนี้ ซึ่งพระเจ้าจะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านทั้งหลาย 17 วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้าขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน และท่านทั้งหลายจะทราบและเห็นเองว่าความอธรรมของท่านนั้นใหญ่โตเพียงใด ซึ่งท่านได้กระทำในสายพระเนตรพระเจ้า ในการที่ได้ขอให้มีพระราชาสำหรับตน¡± 18 ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก

c. คำทักท้ายสุดท้ายของซามูเอล 19-25
19 และประชาชนทั้งหลายเรียนซามูเอลว่า ¡°ขอท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเรา คือขอให้มีพระราชาสำหรับเราทั้งหลาย¡± 20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า ¡°อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆ แล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน 21 และอย่าหันเหไปติดตามสิ่งอนิจจังซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้นเพราะเป็นสิ่งอนิจจัง 22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยแล้วที่จะกระทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าจะแนะนำทางที่ดีและที่ถูกให้ท่าน 24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น 25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความชั่วอยู่ ท่านจะต้องพินาศทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและพระราชาของท่านด้วย¡±


B. การเอาชนะ และ ความบาปของซาอูล 13:-16:
1. การสงครามกับพวกฟีลิสเตียของซาอูล 13:-14:
a. การเริ่มต่อสู้กับฟีลิสเตีย 13:
1 เมื่อซาอูลขึ้นครองราชสมบัตินั้นมีอายุ....ปี และเมื่อพระองค์ทรงปกครองอิสราเอล....สองปี
2 ซาอูลจึงทรงคัดเลือกชายอิสราเอลสามพันคน สองพันคนอยู่กับพระองค์ที่มิคมาช และที่แดนเทือกเขาเบธเอล อีกหนึ่งพันคนนั้นอยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน ประชาชนนอกนั้นท่านก็ปล่อยให้กลับบ้านของตนทุกคน 3 โยนาธานได้ตีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียซึ่งอยู่ที่เกบาพ่ายแพ้ไปคนฟีลิสเตียทราบเรื่อง และซาอูลก็เป่าเขาสัตว์ทั่วแผ่นดินนั้นว่า ¡°ขอให้คนฮีบรูทั้งหลายได้ยิน¡± 4 และคนอิสราเอลทั้งหลายได้ยินเขากล่าวว่า ซาอูลได้รบชนะกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย และคนอิสราเอลได้เป็นที่เกลียดชังของคนฟีลิสเตียยิ่งนัก ประชาชนก็ถูกเรียกออกมาให้สมทบกับซาอูลที่กิลกาล
5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่นและพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทางตะวันออกของเบธาเวน 6 เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าตกอยู่ในที่คับแค้น (เพราะประชาชนถูกบีบคั้นอย่างหนัก) แล้วประชาชนก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและในรูในซอกหิน ในอุโมงค์และในบ่อ 7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น
8 พระองค์ทรงคอยอยู่เจ็ดวันตามเวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลมิได้มาที่กิลกาล ประชาชนก็แตกกระจายไปจากพระองค์ 9 ดังนั้นซาอูลจึงตรัสว่า ¡°จงนำเครื่องเผาบูชามาให้เราที่นี่และเครื่องศานติบูชาด้วย¡± และพระองค์ก็ได้ถวายเครื่องเผาบูชา 10 พอพระองค์ถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จ ดูเถิด ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับและทรงคำนับท่าน 11 ซามูเอลถามว่า ¡°ท่านได้กระทำอะไรไปแล้วนี่¡± และซาอูลตรัสตอบว่า ¡°เมื่อข้าพเจ้าเห็นประชาชนแตกกระจายไปจากข้าพเจ้า และท่านก็มิได้มาภายในวันที่กำหนดไว้และคนฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช 12 ข้าพเจ้าจึงว่า ¡®บัดนี้ คนฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังมิได้ทูลขอพระกรุณาแห่งพระเจ้า¡¯ ข้าพเจ้าจึงข่มตัวเองและได้ถวายเครื่องเผาบูชา¡± 13 และซามูเอลกล่าวแก่ซาอูลว่า ¡°ท่านได้กระทำการที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษาพระบัญชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่านเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แล้ว 14 แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์ เพราะท่านมิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้¡± 15 และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน
และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ได้ประมาณหกร้อยคน 16 ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และพลที่อยู่กับพระองค์ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่คนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 มีกองปล้นออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียสามกอง กองหนึ่งหันตรงไปยังโอฟราห์ยังแผ่นดินชูอัล 18 อีกกองหนึ่งหันตรงไปยังเบธโฮโรนและอีกกองหนึ่งหันตรงไปยังพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบอิมตรงถิ่นทุรกันดาร
19 คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอลก็ไม่มี เพราะคนฟีลิสเตียกล่าวว่า ¡°เกรงว่าพวกฮีบรูจะทำดาบหรือหอกใช้เอง¡± 20 แต่คนอิสราเอลทุกคนไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับผาล ขวานและจอบของเขา 21 ค่าลับนั้นพิมหนึ่งสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวานและติดประตัก 22 เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันทำศึกจะหาดาบหรือหอกในมือของพลที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานก็ไม่ได้ แต่ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์มี 23 และกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียยกไปถึงทางที่ข้ามไปเมืองมิคมาช

b. การโจมตี และเอาชนะฟีลิสเตียของโยนาธาน 14:1-23
1 วันหนึ่งโยนาธานบุตรของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า ¡°มาเถิด ให้เราข้ามไปยังค่ายฟีลิสเตียข้างโน้น¡± แต่หาได้ทูลพระบิดาของตนให้ทราบไม่ 2 ซาอูลทรงพักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิม ซึ่งอยู่ที่ตำบลมิโกรน พลซึ่งอยู่ด้วยมีประมาณหกร้อยคน 3 กับอาหิยาห์บุตรอาหิทูบพี่ชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัสผู้เป็นบุตรของเอลีปุโรหิตแห่งพระเจ้าที่เมืองชิโลห์ เขาถือเอโฟดไป และพวกพลไม่ทราบว่าโยนาธานไปแล้ว 4 ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่องที่จะข้ามไปยังค่ายของฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และฟากทางข้างโน้นยอดหนึ่งมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์ 5 หินแหลมยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างใต้หน้าเกบา
6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า ¡°มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเจ้าได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย¡± 7 ผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านจึงตอบท่านว่า ¡°จงกระทำทุกสิ่งที่จิตใจของท่านอยากกระทำ หันไปเถิด นี่แน่ะข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ตามแต่จิตใจของท่านจะว่าอย่างไร¡± 8 แล้วโยนาธานกล่าวว่า ¡°ดูเถิด เราจะข้ามไปหาคนเหล่านั้นและจะสำแดงตัวของเราให้เขาเห็น 9 ถ้าเขาจะกล่าวแก่เราว่า ¡®จงคอยอยู่จนกว่าเราจะมาหาเจ้า¡¯ แล้วเราจะยืนนิ่งอยู่ในที่ของเรา และเราจะไม่ไปหาเขา 10 แต่ถ้าเขาว่า ¡®จงขึ้นมาหาเราเถิด¡¯ แล้วเราจึงจะขึ้นไปเพราะพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเรา แล้วจะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา¡± 11 ทั้งสองจึงสำแดงตัวให้กองทหารรักษาการคนฟีลิสเตียเห็น และคนฟีลิสเตียกล่าวว่า ¡°ดูซิ พวกฮีบรูออกมาจากรูที่ซ่อนตัวอยู่แล้ว¡± 12 และคนที่กองทหารรักษาการจึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า ¡°จงขึ้นมาหาเราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง¡± และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า ¡°จงตามข้ามา เพราะพระเจ้าได้ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว¡± 13 แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านก็ตามไปด้วย คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน และผู้ถืออาวุธก็ฆ่าเขาทั้งหลายตามท่านไป 14 การฆ่าฟันครั้งแรก ที่โยนาธานและผู้ถืออาวุธของท่านได้กระทำนั้นมีประมาณยี่สิบคน อย่างในระยะทางครึ่งรอยไถในนาสักสองไร่ 15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่ายในทุ่งนาและในหมู่ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัวสั่นแผ่นดินได้ไหว กระทำให้เกิดการสั่นสะท้านมากยิ่งนัก
16 ยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามินก็มองดูอยู่ และดูเถิด มวลชนก็สลายไป วิ่งวุ่นไปมา 17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า ¡°จงนับดูว่าผู้ใดได้ไปจากเราบ้าง¡± และเมื่อเขานับดูแล้ว ดูเถิด โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น 18 และซาอูลรับสั่งกับอาหิยาห์ว่า ¡°จงนำหีบของพระเจ้ามาที่นี่¡± เพราะคราวนั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับคนอิสราเอลด้วย 19 อยู่มาเมื่อซาอูลตรัสกับปุโรหิตเสียงโกลาหลในค่ายฟีลิสเตียก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซาอูลจึงตรัสกับปุโรหิตว่า ¡°หดมือไว้ก่อน¡± 20 ซาอูลกับพลที่อยู่ด้วยก็รวมกันเข้าไปทำศึกและดูเถิด ดาบของทุกคนก็ต่อสู้เพื่อนของตนมีความสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง 21 ฝ่ายคนฮีบรูซึ่งเคยอยู่กับคนฟีลิสเตียก่อนเวลานั้น และผู้ที่ไปในค่ายกับเขาทั้งหลายกลับมาเข้ากับคนอิสราเอล ผู้อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน 22 ในทำนองเดียวกัน คนอิสราเอลผู้ซ่อนตัวอยู่ที่แดนเทือกเขาเอฟราอิมเมื่อได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเหล่านี้ก็ไล่ติดตามเขาไปทำศึกด้วย 23 พระเจ้าทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธาเวนเลยไป

c. การสัญญาที่โง่เขลาของซาอูล 24-46
24 และคนอิสราเอลต้องทุกข์ยากในวันนั้น เพราะซาอูลได้ทรงให้ประชาชนสาบานไว้ว่า ¡°ถ้าผู้ใดรับประทานอาหารก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนเราแก้แค้นศัตรูแล้ว ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง¡± เพราะฉะนั้นพวกพลจึงไม่รับประทานอาหารเลย 25 และชาวแผ่นดินก็เข้ามาในป่า มีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นทุ่ง 26 เมื่อประชาชนเข้าไปในป่านั้น ดูเถิด น้ำผึ้งก็กำลังย้อยอยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะเขากลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรงให้ประชาชนสาบานจึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปากตาก็แจ่มใสขึ้น 28 มีชายคนหนึ่งเรียนว่า ¡°พระราชบิดาของท่านบังคับให้พวกพลสาบานว่า ¡®ผู้ใดที่รับประทานอาหารในวันนี้ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง¡¯ ¡± และพวกพลก็อ่อนเพลีย 29 แล้วโยนาธานจึงกล่าวว่า ¡°บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิ ว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไรเพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย 30 ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรูซึ่งเขาหามาได้อย่างอิ่มหนำจะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็ไม่มากมายแล้ว¡±
31 ในวันนั้นเขาทั้งหลายฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจากมิคมาช ถึงอัยยาโลนและพวกพลก็อ่อนเพลียนัก 32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะและวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเองและพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด 33 แล้วเขาก็ไปทูลซาอูลว่า ¡°ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเจ้า โดยรับประทานพร้อมกับเลือด¡± และซาอูลจึงรับสั่งว่า ¡°เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้¡± 34 และซาอูลตรัสว่า ¡°ท่านจงกระจัดกระจายกันไปท่ามกลางพวกพลและบอกเขาว่า ¡®ให้ทุกคนนำวัวหรือแกะของตัวมาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่ากระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยรับประทานพร้อมกับเลือด¡¯ ¡± คืนนั้นทุกคนก็นำวัวมาและฆ่าเสียที่นั่น 35 และซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นแท่นบูชาแท่นแรกซึ่งท่านสร้างถวายแด่พระเจ้า
36 แล้วซาอูลรับสั่งว่า ¡°ให้เราลงไปตามคนฟีลิสเตียทั้งกลางคืน แล้วริบข้าวของของเขาเสียจนรุ่งเช้าอย่าให้เหลือสักคนเดียวเลย¡± และเขาทั้งหลายตอบว่า ¡°จงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบทุกประการเถิด¡± แต่ปุโรหิตกล่าวว่า ¡°ให้เราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด¡± 37 และซาอูลก็ทูลถามพระเจ้าว่า ¡°สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคนฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของอิสราเอลหรือ¡± แต่ในวันนั้นพระองค์มิได้ทรงตอบท่าน 38 และซาอูลจึงตรัสว่า ¡°มาที่นี่เถิด ท่านทั้งหลายที่เป็นประมุขของคนอิสราเอลพึงทราบและเห็นว่าบาปนี้ได้เกิดขึ้นอย่างไรในวันนี้ 39 เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของข้า เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น¡± แต่ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ประชาชนนั้นตอบพระองค์ 40 แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสราเอลทั้งปวงว่า ¡°พวกท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายหนึ่ง เราและโยนาธานบุตรของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง¡± และประชาชนทูลซาอูลว่า ¡°ขอจงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด¡± 41 ดังนั้นซาอูลจึงทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า ¡°ขอทรงสำแดงฝ่ายถูก¡± ข้างฝ่ายโยนาธานและซาอูลถูกฉลาก แต่ฝ่ายประชากรรอดไป 42 แล้วซาอูลรับสั่งว่า ¡°จับฉลากระหว่างเรากับบุตรของเรา¡± และโยนาธานถูกฉลาก
43 แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า ¡°เจ้าได้กระทำอะไรจงบอกเรามา¡± โยนาธานก็ทูลว่า ¡°ข้าพระบาทได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้า ซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อยเท่านั้นข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย¡± 44 และซาอูลตรัสว่า ¡°ขอพระเจ้าทรงลงโทษและยิ่งหนักกว่า โยนาธานเจ้าจะต้องตายแน่¡± 45 แล้วประชาชนจึงทูลซาอูลว่า ¡°โยนาธานควรจะถึงตายหรือ เขาเป็นผู้ที่ได้นำให้มีชัยใหญ่ยิ่งนี้ในอิสราเอล อย่าให้มีวี่แววอย่างนั้นเลย พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของท่านสักเส้นหนึ่งจะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้ท่านได้กระทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า¡± ประชาชนไถ่โยนาธานไว้ท่านจึงไม่ถึงตาย 46 แล้วซาอูลก็เลิกทัพไม่ติดตามคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตียกลับไปยังที่อยู่ของตน

d. การสู้รบและตระกูลของซาอูล 47-52
47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลขและทรงช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
49 ฝ่ายบุตรของซาอูลมี โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์คือคนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล 50 ชื่อมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัมบุตรีของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ ลุงของซาอูล 51 คีชเป็นบิดาของซาอูล และเนอร์ผู้เป็นบิดาของอับเนอร์เป็นบุตรของอาบีเอล
52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงครามอย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลทรงเห็นผู้ใดเป็นคนแข็งแรงหรือเป็นคนแกล้วกล้า ก็ทรงนำมาไว้ใช้ใกล้พระองค์


2. การสู้รบกับอามาเลข และ ทำบาป 15:
a. การไม่เชื่อฟังของซาอูล 1-9
1 ซามูเอลก็เรียนซาอูลว่า ¡°พระเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเจิมท่านเป็นพระราชาเหนืออิสราเอลประชากรของพระองค์ เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอท่านฟังเสียงพระวจนะของพระเจ้า 2 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ¡®เราจะลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอล เมื่อเขาออกจากอียิปต์ 3 ท่านจงไปโจมตีอามาเลข และทำลายบรรดาที่เขามีนั้นเสียให้สิ้นเชิง อย่าปรานีเขาเลย จงฆ่าเสียทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งทารกและเด็กที่กินนมอยู่ ทั้งโค แกะ อูฐ และลา¡¯ ¡±
4 ดังนั้นซาอูลจึงเกณฑ์พวกพลและตรวจพลที่ตำบลเทลาอิม ได้ทหารราบสองแสนคน และคนเผ่ายูดาห์หนึ่งหมื่นคน 5 ซาอูลก็ทรงยกกองทัพมายังเมืองอามาเลข และตั้งซุ่มอยู่ในหุบเขา 6 และซาอูลตรัสแก่คนเคไนต์ว่า ¡°ไปเถิด จงแยกไปเสีย ลงไปเสียจากคนอามาเลข เกรงว่าเราจะทำลายพวกท่านไปพร้อมกับเขา เพราะท่านทั้งหลายได้แสดงความเอ็นดูต่ออิสราเอลเมื่อเขาออกจากอียิปต์¡± ดังนั้นคนเคไนต์ก็แยกออกไปจากคนอามาเลข 7 และซาอูลก็ทรงกระทำให้คนอามาเลขพ่ายแพ้ ตั้งแต่เมืองฮาวีลาห์ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์ 8 ทรงจับอากักพระราชาของคนอามาเลขได้ทั้งเป็น และได้ฆ่าฟันประชาชนเสียอย่างสิ้นเชิงด้วยคมดาบ 9 แต่ซาอูลและประชาชนได้ไว้ชีวิตอากักและสัตว์ที่ดีที่สุด มีแกะกับโคและสัตว์อ้วนพีกับลูกแกะ และสิ่งดีๆ ทั้งหมดไม่ยอมทำลายเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่เขาดูถูกและไร้ค่าเขาก็ทำลายเสียสิ้น

b. การตีเตียนของซามูเอลต่อซาอูล 10-23
10 แล้วพระวจนะแห่งพระเจ้ามายังซามูเอลว่า 11 ¡°เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันกลับเสียจากการตามเรา และไม่ได้กระทำตามบัญญัติของเรา¡± และซามูเอลก็โกรธจึงร้องทูลต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง 12 และซามูเอลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อจะไปหาซาอูลในเช้าวันนั้น และมีคนไปเรียนซามูเอลว่า ¡°ซาอูลเสด็จมาที่ภูเขาคารเมล และดูเถิด ทรงมาสร้างที่ระลึกของพระองค์แล้วก็หันและผ่านเรื่อยไปจนลงไปถึงกิลกาล¡± 13 และซามูเอลก็มาหาซาอูล และซาอูลเรียนท่านว่า ¡°ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านเถิด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว¡± 14 และซามูเอลกล่าวว่า ¡°ถ้าอย่างนั้นเสียงแกะที่ร้องเข้าหูข้าพเจ้ากับเสียงวัวที่ข้าพเจ้าได้ยินหมายความว่ากระไร¡± 15 ซาอูลตอบว่า ¡°เขาทั้งหลายได้นำมาจากคนอามาเลข เพราะพวกพลได้ไว้ชีวิตแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อเป็นเครื่องสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน นอกจากนั้นเราทั้งหลายก็ได้ทำลายเสียสิ้น¡± 16 แล้วซามูเอลจึงเรียนซาอูล ¡°พอที ข้าพเจ้าจะขอเรียนท่านว่าพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไรคืนนี้¡± และซาอูลก็เรียนท่านว่า ¡°จงกล่าวไปเถิด¡±
17 และซามูเอลเรียนว่า ¡°แม้ท่านเป็นแต่ผู้เล็กน้อยในสายตาของท่าน ท่านมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขของบรรดาเผ่าอิสราเอลดอกหรือ พระเจ้าทรงเจิมท่านไว้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล 18 และพระเจ้าทรงใช้ให้ท่านออกไปประกอบกิจ ตรัสว่า ¡®จงไปทำลายคนอามาเลขคนบาปหนาเสียให้สิ้นเชิง และต่อสู้กับเขาจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียหมด¡¯ 19 เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ไปเฉี่ยวทรัพย์สิ่งของต่างๆ และกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า¡± 20 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า ¡°ข้าพเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปประกอบกิจตามที่พระเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้คุมตัวอากักพระราชาแห่งคนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขเสียอย่างสิ้นเชิง 21 แต่พวกพลได้เก็บส่วนของทรัพย์เชลยรวมทั้งแกะและโคส่วนที่ดีที่สุดจากของซึ่งกำหนดให้ทำลายนั้น เพื่อนำมาเป็นเครื่องสัตวบูชา แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่ในเมืองกิลกาล¡± 22 และซามูเอลกล่าวว่า
¡°พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก
เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ
ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา
และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม
และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ
เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า
พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์¡±

c. การยอกของซามูเอลกับซาอูล 24-35
24 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า ¡°ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าได้ฝ่าฝืนพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าและคำของท่าน เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวประชาชนและยอมฟังเสียงของเขาทั้งหลาย 25 เพราะฉะนั้นขอท่านโปรดอภัยบาปของข้าพเจ้าและขอกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระเจ้า¡± 26 และซามูเอลเรียนซาอูลว่า ¡°ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่าน เพราะท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าทรงถอดท่านจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล¡± 27 พอซามูเอลหันจะไป ซาอูลก็ได้ยึดชายเสื้อของท่านไว้และเสื้อนั้นก็ขาด 28 และซามูเอลเรียนท่านว่า ¡°ในวันนี้พระเจ้าได้ทรงฉีกราชอาณาจักรอิสราเอลเสียจากท่านแล้ว และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน 29 และผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่¡± 30 ฝ่ายซาอูลจึงเรียนว่า ¡°ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว แต่บัดนี้ขอท่านให้เกียรติแก่ข้าพเจ้า ต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของประชาชนของข้าพเจ้าและต่อหน้าคนอิสราเอล ขอกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน¡± 31 ซามูเอลจึงกลับตามซาอูลไป และซาอูลก็นมัสการพระเจ้า
32 แล้วซามูเอลกล่าวว่า ¡°ท่านทั้งหลายจงนำอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขมาให้ข้าพเจ้า¡± และอากักก็เข้ามาหาท่านด้วยหน้าตาเบิกบาน อากักกล่าวว่า ¡°ความขมขื่นแห่งความตายก็ผ่านพ้นไปแน่แล้ว¡± 33 ฝ่ายซามูเอลกล่าวว่า ¡°ดาบของท่านได้กระทำให้ผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตรในหมู่พวกผู้หญิงทั้งหลายฉันนั้น¡± และซามูเอลก็ฟันอากักเสียเป็นท่อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ในกิลกาล
34 ฝ่ายซามูเอลก็ไปรามาห์และซาอูลก็เสด็จขึ้นไปยังวังของพระองค์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูล 35 และซามูเอลไม่มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพ แต่ซามูเอลได้โศกเศร้าเพราะซาอูล และพระเจ้าทรงกลับพระทัยที่ได้ทรงกระทำให้ซาอูลเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล


3. การถูกเจิมน้ำมันแก่ดาวิด 16:
a. ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ 1-13
1 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า ¡°เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรของเขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา¡± 2 ซามูเอลก็กราบทูลว่า ¡°ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้ ถ้าซาอูลได้ยินเขาคงฆ่าข้าพระองค์เสีย¡± และพระเจ้าตรัสว่า ¡°จงนำโคตัวเมียไปกับเจ้าตัวหนึ่งและกล่าวว่า ¡®ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า¡¯ 3 จงเชิญเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราจะสำแดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะกระทำประการใด เจ้าจงเจิมให้เราผู้ซึ่งเราจะบอกชื่อแก่เจ้า¡± 4 ซามูเอลก็กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา และมาที่เบธเลเฮมพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นออกมาหาท่านกล่าวว่า ¡°ท่านมาอย่างสันติหรือ¡± 5 และซามูเอลตอบว่า ¡°มาอย่างสันติ เรามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า จงชำระตัวของท่านให้บริสุทธิ์และขอเชิญมาที่การถวายสัตวบูชากับเรา¡± และซามูเอลก็ชำระตัวเจสซีและบุตรทั้งหลายของท่านให้บริสุทธิ์ และเชิญเขาเหล่านั้นให้ไปยังการถวายสัตวบูชา
6 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้ว ท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า ¡°ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแน่แล้ว¡± 7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า ¡°อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ¡± 8 แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า ¡°พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้¡± 9 แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า ¡°พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้¡± 10 แล้วเจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า ¡°พระเจ้ามิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้¡± 11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า ¡°บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ¡± เจสซีตอบว่า ¡°ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดูเถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่¡± และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า ¡°จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่¡± 12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเจ้าตรัสว่า ¡°จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ¡± 13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับดาวิดอย่างมากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์

b. ซาอูลเรียกดาวิด 14-23
14 ฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้าก็พรากจากซาอูล และวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็ทรมานซาอูล 15 และพวกมหาดเล็กของซาอูลก็กราบทูลว่า ¡°ดูเถิด วิญญาณชั่วจากพระเจ้ากำลังทรมานพระองค์อยู่ 16 ขอเจ้านายของข้าพระบาททั้งหลาย จงบัญชาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทผู้ที่อยู่ต่อพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีฝีมือในการดีดพิณ และเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้าสิงฝ่าพระบาท ก็ให้เขาดีดพิณแล้วฝ่าพระบาทจะหายดี¡± 17 ซาอูลก็รับสั่งผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ¡°จงไปหาชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีมาให้เรา นำเขามาหาเรา¡± 18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มทูลว่า ¡°ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระเจ้าทรงสถิตกับเขา¡± 19 เพราะฉะนั้นซาอูลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซีกล่าวว่า ¡°จงให้ดาวิดบุตรของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา¡± 20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรของท่านให้ถวายซาอูล 21 ดาวิดก็มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับราชการ ซาอูลก็ทรงรักดาวิดมาก ดาวิดก็ได้เป็นคนถือเครื่องอาวุธของซาอูล 22 และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า ¡°จงอนุญาตให้ดาวิดอยู่รับราชการกับเรา เพราะเขาเป็นที่พอตาพอใจของเรา¡± 23 อยู่มาเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาสิงซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณใช้มือดีดถวายซาอูลก็ทรงชุ่มชื่นขึ้นและหายดี และวิญญาณชั่วก็พรากจากพระองค์ไป

C. การออกหน้าของดาวิด 17:-27:
1. การมีชัยชนะโกลิอัทของดาวิด 17:-18:
a. การท้าท้ายของโกลิอัท 17:1-11
1 ฝ่ายคนฟีลิสเตีย ก็รวบรวมกองทัพเพื่อจะทำสงคราม เขามาชุมนุมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นเขตยูดาห์ และตั้งค่ายอยู่ระหว่างตำบลโสโคห์กับตำบลอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม 2 และซาอูลกับคนอิสราเอลก็ชุมนุมกัน และตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเอลาห์และวางแนวไว้ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย 3 คนฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่งและคนอิสราเอลยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นกลาง 4 มีผู้หนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ได้ออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียเป็นชาวเมืองกัท สูงหกศอกคืบ 5 เขาสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ไว้ที่ศีรษะ และสวมเสื้อเกราะ เสื้อเกราะนั้นหนักห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์ 6 และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า 7 ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า 8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า ¡°เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้าให้เขาลงมาหาข้านี่ 9 ถ้าเขาสามารถสู้รบและฆ่าตัวข้าได้ พวกเราจะยอมเป็นข้าของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าต้องเป็นข้าของพวกเรา และรับใช้เรา¡± 10 และคนฟีลิสเตียคนนั้น กล่าวว่า ¡°วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งคนมาสู้กันเถิด¡± 11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก

b. การออกสู้รบกับโกลิอัทของดาวิด 12-30
12 ฝ่ายดาวิดเป็นบุตรของชาวเอฟราธาห์คนหนึ่งแห่งเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ชื่อเจสซี ผู้มีบุตรแปดคน ในรัชกาลของซาอูล ชายคนนี้เป็นคนแก่แล้วเป็นคนอายุมาก 13 บุตรชายใหญ่สามคนของเจสซีก็ตามซาอูลไปทำศึกแล้ว ชื่อของบุตรชายสามคนที่ไปทำศึกนั้นคือ บุตรหัวปีเอลีอับ คนถัดมาอาบีนาดับ และคนที่สามชัมมาห์ 14 ดาวิดเป็นบุตรสุดท้อง พี่ชายทั้งสามคนก็ตามซาอูลไปแล้ว 15 แต่ดาวิดไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างซาอูลกับการที่เลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม 16 คนฟีลิสเตียคนนั้น ได้ออกมายืนท้าอยู่ทั้งเช้าและเย็นตั้งสี่สิบวัน
17 เจสซีสั่งดาวิดบุตรของตนว่า ¡°ข้าวคั่วนี้เอฟาห์หนึ่ง และขนมปังสิบก้อนนี้ อันจัดไว้ให้พวกพี่ชายของเจ้า จงเอาไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ 18 และจงนำเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้แก่ผู้บังคับกองพันของเขาด้วย ดูว่าพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วรับของฝากมาจากเขาบ้าง¡±
19 ฝ่ายซาอูลกับเขาทั้งหลายและคนอิสราเอลทั้งปวง อยู่ที่หุบเขาเอลาห์สู้รบกับคนฟีลิสเตียอยู่ 20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแล นำเสบียงอาหารเดินทางไปตามที่เจสซีได้บัญชาแก่เขา และเขาก็มาถึงเขตค่าย ขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปสู่แนวรบ พลางร้องกราวศึก 21 คนอิสราเอลกับคนฟีลิสเตียก็ยกมาจะปะทะกัน กองทัพปะทะกองทัพ 22 ดาวิดก็มอบสัมภาระไว้กับผู้ดูแลกองสัมภาระ และวิ่งไปที่แนวรบไปทักทายพี่ชายของตน 23 เมื่อเขากำลังพูดกันอยู่ ดูเถิด คนฟีลิสเตียชาวเมืองกัท ยอดทหารที่ชื่อโกลิอัทออกมาจากแนวรบ ฟีลิสเตียกล่าวท้าอย่างแต่ก่อนและดาวิดก็ได้ยิน
24 เมื่อคนอิสราเอลเห็นชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไป กลัวเขามาก 25 คนอิสราเอลพูดว่า ¡°เจ้าเคยเห็นคนที่ออกมานั้นหรือ เขาออกมาท้าทายอิสราเอลแท้ๆ ถ้าใครฆ่าเขาได้ พระราชาจะพระราชทานทรัพย์ให้เขามากมาย และจะมอบราชธิดาให้ด้วยและกระทำให้ครอบครัวของบิดาของเขาเป็นคนยกเว้นการเกณฑ์ในอิสราเอล¡± 26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า ¡°เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่¡± 27 ประชาชนก็ตอบเขาอย่างเดียวกันว่า ¡°ผู้ที่ฆ่าเขาได้ก็จะได้รับดังที่กล่าวมาแล้วนั้น¡±
28 ฝ่ายเอลีอับพี่ชายหัวปีได้ยินคำที่ดาวิดพูดกับชายคนนั้น เอลีอับก็โกรธดาวิดกล่าวว่า ¡°เจ้าลงมาทำไมเจ้าทิ้งแกะไม่กี่ตัวที่ถิ่นทุรกันดารไว้กับใคร ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานของเจ้า และความคิดชั่วของเจ้า เพราะเจ้าลงมาเพื่อจะมาดูเขารบกัน¡± 29 ดาวิดจึงตอบว่า ¡°ผมได้ทำอะไรไปแล้วเล่า พูดแต่คำเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ¡± 30 เขาจึงหันไปหาคนอื่นเสีย และพูดอย่างเดียวกัน และประชาชนก็ตอบแก่เขาอย่างคราวก่อน

c. การเอาชนะโกลิอัทของดาวิด 31-58
31 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินคำที่ดาวิดพูด เขาทั้งหลายก็เล่าความให้ซาอูลทราบ ซาอูลจึงใช้คนให้มาตามดาวิด 32 ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า ¡°อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้¡± 33 และซาอูลกล่าวแก่ดาวิดว่า ¡°เจ้าไม่สามารถที่จะไปสู้รบกับชายฟีลิสเตียคนนั้นดอก เพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม และเขาเป็นทหารชำนาญศึกมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้ว¡± 34 แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า ¡°ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยดูแลแพะแกะของบิดา และเมื่อมีสิงห์หรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง 35 ข้าพระบาทก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย 36 ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงห์และหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่¡± 37 และดาวิดทูลต่อไปว่า ¡°พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากขยุ้มเท้าของสิงห์ และจากขยุ้มเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียคนนี้¡± และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า ¡°จงไปเถอะ และพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า¡± 38 แล้วซาอูลก็ทรงเอาเครื่องอาวุธของพระองค์สวมให้ดาวิด ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และสวมเสื้อเกราะให้เขา 39 และดาวิดก็คาดดาบทับเครื่องอาวุธ เขาลองเดินดูก็เห็นว่าใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่ชิน แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า ¡°ข้าพระบาทจะสวมเครื่องเหล่านี้ไปไม่ได้ เพราะว่าข้าพระบาทไม่ชิน¡± ดาวิดจึงปลดออกเสีย 40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ ท่านก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
41 คนฟีลิสเตียนั้นก็ออกมาใกล้ดาวิด พร้อมกับคนถือโล่เดินออกหน้า 42 เมื่อคนฟีลิสเตียมองเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นแต่คนหนุ่ม ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู 43 คนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า ¡°ข้าเป็นหมาหรือ เจ้าจึงถือไม้เท้ามาหาข้า¡± และคนฟีลิสเตียคนนั้นก็แช่งด่าดาวิด ออกนามพระของตน 44 คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า ¡°มาหาข้านี่ ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ในทุ่งกิน¡± 45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า ¡°ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น 46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล 47 และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย¡±
48 อยู่มาเมื่อคนฟีลิสเตียคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบเพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตียคนนั้นอย่างรวดเร็ว 49 และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิงถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผากเขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
50 ดังนั้นดาวิดก็ชนะคนฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบอยู่ในมือ 51 แล้วดาวิดวิ่งไปยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตียคนนั้น หยิบดาบของเขาชักออกจากฝักฆ่าเขาเสีย และตัดศีรษะของเขาออกเสียด้วยดาบ เมื่อคนฟีลิสเตียเห็นว่ายอดทหารของเขาตายเสียแล้วก็พากันหนีไป 52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องไล่ติดตามคนฟีลิสเตีย ไกลไปจนถึงเมืองกัทและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน 53 และคนอิสราเอลก็กลับมาจากการไล่ติดตามคนฟีลิสเตีย และมาปล้นค่ายของเขา 54 ดาวิดก็นำศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นมาที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาเอาเครื่องอาวุธของเขาไว้ที่เต็นท์ของตนแล้ว
55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า ¡°อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร¡± และอับเนอร์ทูลว่า ¡°ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ทราบ¡± 56 พระราชาจึงรับสั่งว่า ¡°ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นลูกของใคร¡± 57 เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็มาพาตัวเขาเข้าไปเฝ้าซาอูล ถือศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นไปด้วย 58 ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า ¡°เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร¡± และดาวิดทูลว่า ¡°ข้าพระบาทเป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท¡±

d. ความสัมพันธ์ระหว่างดาวิดกับโยนาธาน 18:1-5
1 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว จิตใจของโยนาธานก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด และโยนาธานก็รักเธออย่างรักชีวิตของท่านเอง 2 และวันนั้นซาอูลก็ทรงกักตัวเธอไว้ ไม่ยอมให้เธอกลับไปบ้านบิดาของเธอ 3 แล้วโยนาธานก็กระทำพันธสัญญากับดาวิด เพราะท่านรักเธออย่างกับรักชีวิตของท่านเอง 4 โยนาธานก็ถอดเสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิด พร้อมทั้งเครื่องใช้ แม้ดาบ คันธนู และเข็มขัดก็ประทานให้ด้วย 5 และดาวิดก็ออกไปกระทำความสำเร็จไม่ว่าซาอูลจะใช้เธอไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย การกระทำดังนี้เป็นที่ชอบในสายตาของประชาชนและในสายตาของข้าราชการของซาอูลด้วย


e. ซาอูลพยายามจะฆ่าดาวิด 6-16
6 อยู่มาเมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น กำลังเดินทางกลับบ้าน พวกผู้หญิงก็ออกมาจากหัวเมืองอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชาซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยเพลงร่าเริง และด้วยเครื่องดนตรี 7 และเมื่อพวกผู้หญิงเต้นรำรื่นเริงกันอยู่นั้นก็ขับร้องรับกันว่า
¡°ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ¡±
8 ซาอูลทรงกริ้วนัก คำที่ร้องกันนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า ¡°เขาสรรเสริญดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ นอกจากราชอาณาจักรแล้ว ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่า¡± 9 ซาอูลก็ทรงใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
10 อยู่มาในวันรุ่งขึ้นวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิงซาอูล ซาอูลก็ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดาวิดก็กำลังดีดพิณอย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูลทรงถือหอกอยู่ 11 และซาอูลก็ทรงพุ่งหอก ด้วยนึกว่า ¡°ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย¡± แต่ดาวิดก็หนีไปได้ถึงสองครั้ง
12 ซาอูลก็ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ แต่ทรงพรากจากซาอูลแล้ว 13 ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์ ตั้งเป็นผู้บังคับการกองพันและเธอได้เข้าออกอยู่ต่อหน้าประชาชน 14 ดาวิดกระทำอะไรก็สำเร็จทุกประการ เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ 15 เมื่อซาอูลทรงเห็นว่าดาวิดได้กระทำความสำเร็จยิ่งก็ทรงเกรงกลัวดาวิด 16 แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเธอเข้าออกต่อหน้าเขาทั้งหลายอยู่เสมอ

f. ดาวิดเป็นลูกเขยซาอูล 17-30
17 ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า ¡°ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น¡± เพราะซาอูลทรงดำริว่า ¡°อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้องเขาดีกว่า¡± 18 ดาวิดทูลซาอูลว่า ¡°ในอิสราเอลข้าพระบาทคือผู้ใด วงศ์ญาติของข้าพระบาทคือตระกูลบิดาของข้าพระบาทคือผู้ใด ที่ข้าพระบาทควรจะเป็นราชบุตรเขยของพระราชา¡± 19 แต่อยู่มาเมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดาของซาอูลให้เป็นภรรยาของดาวิด แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์
20 ฝ่ายมีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด มีคนเอาเรื่องไปทูลซาอูลเรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 21 ซาอูลทรงดำริว่า ¡°ให้เรายกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอและมือของคนฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เธอ¡± ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า ¡°ครั้งนี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเรา¡± 22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า ¡°จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า ¡®ดูเถิด พระราชาพอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นจงเป็นบุตรเขยของพระราชาเถิด¡¯ ¡± 23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า ¡°ท่านทั้งหลายเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจนและไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย¡± 24 และมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า ¡°ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้¡± 25 ซาอูลจึงรับสั่งว่า ¡°เจ้าจงพูดเช่นนี้แก่ดาวิด ¡®พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอาอะไรในการแต่งงานเลย นอกจากหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียสักหนึ่งร้อย เพื่อพระองค์จะทรงแก้แค้นศัตรูของพระราชา¡¯ ¡± ฝ่ายซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายเสียด้วยมือของคนฟีลิสเตีย 26 และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำเหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอใจดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป 27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขยของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด 28 ซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระเจ้าทรงสถิตกับดาวิดและมีคาลพระราชธิดาของซาอูลรักเธอ 29 ซาอูลทรงเกรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงเป็นศัตรูของดาวิดเรื่อยมา
30 บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม เขาทั้งหลายจะออกมาสักกี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ได้กระทำความสำเร็จมากกว่าบรรดาข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก


2. การหนีซาอูลของดาวิด 19:-20:
a. ดาวิดคึนดีกับซาอูลชั่วคราว 19:1-7
1 ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตรและกับบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ให้เขาทั้งหลายฆ่าดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลพอใจในดาวิดมาก 2 และโยนาธานก็บอกดาวิดว่า ¡°ซาอูลเสด็จพ่อของฉันหาช่องจะฆ่าเธอเสีย เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เช้า ขอจงระวังตัวให้ดี จงอยู่เสียในที่ลับซ่อนตัวไว้ 3 และฉันจะออกไปยืนอยู่ข้างๆ เสด็จพ่อในทุ่งนาที่เธออยู่ และฉันจะกราบทูลเสด็จพ่อด้วยเรื่องของเธอ ถ้าฉันรู้เรื่องอะไรจะบอกให้ทราบ¡± 4 โยนาธานกล่าวชมดาวิดให้ราชบิดาฟังทูลว่า ¡°ขอพระราชาอย่าทรงกระทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เลย เพราะดาวิดหาได้กระทำบาปสิ่งใดต่อฝ่าพระบาทไม่ และการงานของเธอก็เป็นงานปฏิบัติฝ่าพระบาทอย่างดี 5 เพราะเธอเสี่ยงชีวิตของตน และประหารคนฟีลิสเตียนั้น และพระเจ้าทรงกระทำให้มีชัยใหญ่หลวงเพื่ออิสราเอลทั้งปวง ฝ่าพระบาททรงเห็นแล้วและทรงชื่นชมยินดี แต่ไฉนฝ่าพระบาทจึงจะกระทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด ด้วยการฆ่าดาวิดเสียอย่างปราศจากเหตุผล¡± 6 ซาอูลก็ทรงฟังเสียงของโยนาธานและซาอูลจึงปฏิญาณว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดาวิดจะไม่ต้องถูกประหารชีวิตเลย¡± 7 และโยนาธานก็เรียกดาวิด และโยนาธานแจ้งให้เธอทราบถึงสิ่งเหล่านี้ และโยนาธานนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และดาวิดได้เข้าเฝ้าซาอูลอย่างแต่ก่อน

b. มีคาลช่วยดาวิดหนีจากซาอูล 8-17
8 สงครามได้เกิดขึ้นอีก ดาวิดก็ออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย และได้ฆ่าฟันเสียเป็นอันมาก เขาทั้งหลายจึงหนีไปเสียจากเธอ 9 แล้ววิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้ามาสิงซาอูล เมื่อพระองค์ประทับในนิเวศของพระองค์ทรงหอกอยู่ และดาวิดก็กำลังดีดพิณถวาย 10 และซาอูลทรงพุ่งหอกหมายปักดาวิดให้ติดฝาผนัง แต่เธอก็หลบหนีซาอูลไป ซาอูลจึงทรงพุ่งหอกติดผนัง และดาวิดก็หลบหนีรอดไปได้ในคืนนั้น
11 ซาอูลทรงใช้ผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเธอ และเพื่อจะฆ่าเธอเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิดบอกดาวิดว่า ¡°ถ้าคืนนี้เธอไม่ช่วยชีวิตของเธอ พรุ่งนี้เธอจะถูกฆ่าตาย¡± 12 มีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง และเธอก็หนีรอดไป 13 มีคาลได้นำรูปเคารพมาวางไว้บนเตียงนอน และวางหมอนขนแพะไว้ที่ศีรษะเอาผ้าห่มคลุมไว้ 14 เมื่อซาอูลส่งผู้สื่อสารไปจับดาวิด มีคาลตอบว่า ¡°เขาไม่สบาย¡± 15 แล้วซาอูลส่งผู้สื่อสารนั้นให้ไปดูดาวิด สั่งว่า ¡°จงนำเขามาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย¡± 16 เมื่อผู้สื่อสารเข้ามา ดูเถิด รูปเคารพก็อยู่ในเตียงพร้อมกับหมอนขนแพะอยู่ที่ศีรษะ 17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า ¡°ไฉนเจ้าจึงหลอกลวงเราและปล่อยศัตรูของเราไปเสีย เขาจึงรอดพ้นไป¡± และมีคาลทูลตอบซาอูลว่า ¡°เธอพูดกับหม่อมฉันว่า ¡®ปล่อยให้ฉันไปเถิด จะให้ฉันฆ่าเธอทำไมเล่า¡¯ ¡±

c. ดาวิดหนีไปที่ซามูเอล 18-24
18 ฝ่ายดาวิดก็หนีรอดไป เธอมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ และเล่าเรื่องที่ซาอูลได้ทรงกระทำแก่เธอ ให้ซามูเอลฟัง เธอและซามูเอลก็ไปอยู่เสียที่นาโยท 19 มีคนไปทูลซาอูลว่า ¡°ดูเถิด ดาวิดอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์¡± 20 ซาอูลก็รับสั่งให้ผู้สื่อสารไปจับดาวิด และเมื่อเขาไปเห็นหมู่ผู้เผยพระวจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าเขาทั้งหลาย พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาสถิตกับผู้สื่อสารของซาอูล และเขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะด้วย 21 เมื่อมีคนไปทูลซาอูลพระองค์ก็ทรงใช้ผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นก็เผยพระวจนะด้วย ซาอูลทรงใช้ให้ผู้สื่อสารไปครั้งที่สาม เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะด้วย 22 ซาอูลก็เสด็จไปที่รามาห์เอง มาถึงบ่อน้ำใหญ่ที่ในเมืองเสคู และรับสั่งถามว่า ¡°ซามูเอลกับดาวิดอยู่ที่ไหน¡± มีคนทูลว่า ¡°ดูเถิด เขาทั้งสองอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์¡± 23 พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นยังนาโยทในเมืองรามาห์ และพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับพระองค์ด้วย ทรงดำเนินพลางเผยพระวจนะพลางจนเสด็จถึงนาโยทที่เมืองรามาห์ 24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และก็ทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล และบรรทมเปลือยกายอยู่ตลอดคืนนั้นและตลอดวันนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดกันว่า ¡°ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ¡±

d. ดาวิดขอช่วยจากโยนาธาน 20:1-11
1 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และมาหาโยนาธานกล่าวว่า ¡°ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใด อะไรเป็นความผิดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้กระทำบาปอันใดต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงได้แสวงชีวิตของข้าพเจ้า¡± 2 และโยนาธานจึงตอบเธอว่า ¡°ไม่มีวี่แววเลย เธอไม่ต้องตายดอก ดูเถิด เสด็จพ่อมิได้ทรงกระทำการใหญ่น้อยสิ่งใดโดยมิให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่¡± 3 แต่ดาวิดตอบว่า ¡°เสด็จพ่อของท่านทรงทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นที่พอใจท่าน และพระองค์คงดำริว่า ¡®อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้เลย เกรงว่าเขาจะเศร้าใจ¡¯ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตแน่ฉันใด ความจริงมีอยู่ว่า ระหว่างข้าพเจ้ากับความตายก็ยังเหลืออีกเพียงก้าวเดียว¡± 4 โยนาธานจึงพูดกับดาวิดว่า ¡°เธอว่าอย่างไร ฉันจะทำตามเพื่อเธอ¡± 5 ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า ¡°ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ข้าพเจ้าไม่ควรขาดที่จะนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชา แต่ขอโปรดให้ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนาจนถึงเย็นวันที่สาม 6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านเห็นข้าพเจ้าขาดไป ก็ขอโปรดทูลพระองค์ว่า ¡®ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทรีบกลับไปเมืองเบธเลเฮมเมืองของตน เพราะที่นั่นวงศ์ญาติทำการถวายสัตวบูชาประจำปี¡¯ 7 ถ้าพระองค์รับสั่งว่า ¡®ดีแล้ว¡¯ ผู้รับใช้ของท่านก็ดีไป แต่ถ้าพระองค์ทรงกริ้วก็ขอทราบเถิดว่า พระองค์ดำริการร้าย 8 เพราะฉะนั้นขอท่านกรุณากระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านด้วยใจจงรัก เพราะท่านได้กระทำพันธสัญญาแห่งพระเจ้ากับผู้รับใช้ของท่านแล้ว แต่ถ้าความผิดมีอยู่ในข้าพเจ้า ขอท่านฆ่าข้าพเจ้าเสียเองเถิด เพราะท่านจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่านทำไม¡± 9 โยนาธานจึงกล่าวว่า ¡°อย่าให้มีวี่แววอย่างนี้เลยน่ะ ถ้าฉันทราบว่าเสด็จพ่อคิดร้ายต่อเธอ ฉันจะไม่ไปบอกเธอหรือ¡± 10 แล้วดาวิดก็กล่าวแก่โยนาธานว่า ¡°ถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน ใครจะบอกแก่ข้าพเจ้าได้¡± 11 และโยนาธานบอกดาวิดว่า ¡°มาเถิดให้เราเข้าไปในทุ่งนา¡± เขาทั้งสองจึงเข้าไปในทุ่งนา

e. ทำสัญญาของดาวิดกับโยนาธาน 12-16
12 และโยนาธานกล่าวแก่ดาวิดว่า ¡°ขอพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพยาน เมื่อฉันได้หยั่งดูเสด็จพ่อของฉันในวันพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ หรือในวันที่สาม ดูเถิด ถ้ามีอะไรดีต่อดาวิดแล้ว ฉันจะไม่ใช้คนไปบอกเธอทีเดียวหรือ 13 แต่ถ้าเสด็จพ่อพอพระทัยที่จะทำร้ายเธอ ถ้าฉันไม่บอกเธอให้ทราบ และไม่ส่งให้เธอหนีไปให้พ้นภัยแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษแก่โยนาธาน และยิ่งหนักกว่า ขอพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ อย่างที่พระองค์ทรงสถิตกับเสด็จพ่อของฉัน 14 ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอเธอสำแดงความรักมั่นคงแห่งพระเจ้าต่อฉัน เพื่อฉันจะไม่ต้องตาย 15 ขออย่าตัดความรักมั่นคงของเธอที่มีต่อพงศ์พันธุ์ของฉันเป็นนิตย์ ในเมื่อพระเจ้าทรงกำจัดศัตรูทั้งสิ้นของดาวิดเสียจากผิวพิภพแล้ว¡± 16 โยนาธานจึงทำพันธสัญญากับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า ¡°ขอพระเจ้าทรงแก้แค้นต่อศัตรูของดาวิดเถิด¡±

f. โยนาธานช่วยดาวิดหนีจากซาอูล 17-42
17 และโยนาธานก็ให้ดาวิดปฏิญาณอีกครั้งหนึ่งโดยความรักของท่านที่มีต่อเธอ เพราะท่านรักเธออย่างกับรักชีวิตของตนเอง
18 แล้วโยนาธานจึงพูดกับเธอว่า ¡°พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ และเขาจะเห็นว่าเธอขาดไป เพราะที่นั่งของเธอจะว่างอยู่ 19 เมื่อเธออยู่สามวันแล้ว เธอจงลงไปโดยเร็ว ไปยังที่ที่เธอได้ซ่อนตัวอยู่ ในวันแห่งการกระทำนั้น และคอยอยู่ข้างศิลาเอเซล 20 ฉันจะยิงลูกธนูสามลูกไปข้างๆ ที่นั่น อย่างกับว่าฉันยิงเป้า 21 และดูเถิด ฉันจะใช้เด็กไปสั่งว่า ¡®จงไปหาลูกธนู¡¯ ถ้าฉันพูดกับเด็กนั้นว่า ¡®ดูเถิด ลูกธนูอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า ไปเอามา¡¯ แล้วขอเธอเข้ามาเพราะพระเจ้าทรงพระชนม์แน่ฉันใด เธอก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอันใด 22 ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า ¡®ดูเถิด ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น¡¯ เธอจงไปเถิด เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงส่งเธอไปแล้ว 23 ส่วนเรื่องที่เธอและฉันได้พูดกันนั้น ดูเถิด พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเธอและฉันเป็นนิตย์¡±
24 ดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาและเมื่อถึงวันขึ้นค่ำ พระราชาก็ประทับเสวยพระกระยาหาร 25 พระราชาประทับบนพระที่นั่งของพระองค์อย่างที่เคยทรงกระทำ คือประทับที่พระที่นั่งข้างๆ ฝาผนัง โยนาธานยืนอยู่และอับเนอร์นั่งอยู่ข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่
26 อย่างไรก็ดีในวันนั้นซาอูลมิได้ตรัสประการใด เพราะทรงดำริว่า ¡°ดาวิดคงเกิดเหตุบางอย่าง เขาคงมลทิน เขาคงมลทินแน่¡± 27 แต่รุ่งขึ้นจากวันขึ้นค่ำ คือวันที่สอง ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่ และซาอูลก็ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า ¡°ทำไมบุตรเจสซีมิได้มารับประทานอาหาร ทั้งวานนี้และวันนี้¡± 28 โยนาธานทูลตอบซาอูลว่า ¡°ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทไปยังบ้านเบธเลเฮม 29 เขาว่า ¡®ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไป เพราะตระกูลของข้าพเจ้ามีการถวายสัตวบูชาในเมืองและพี่ชายของข้าพเจ้าบัญชาให้ข้าพเจ้าไปที่นั่น ถ้าข้าพเจ้าได้รับความปรานีในสายตาของท่าน ก็ขอให้ข้าพเจ้าไปเพื่อเยี่ยมพี่ชายของข้าพเจ้า¡¯ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้มาที่โต๊ะของพระราชา¡±
30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า ¡°เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ความอับอายแก่เจ้าเอง และให้ท้องแม่ของเจ้าได้อาย 31 ตราบใดที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปตามเขามาให้เรา เพราะเขาจะต้องตายแน่¡± 32 แล้วโยนาธานจึงทูลตอบพระราชบิดาของท่านว่า ¡°ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร เขาได้กระทำผิดสิ่งใดพระเจ้าข้า¡± 33 แต่ซาอูลได้ทรงพุ่งหอกใส่ท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าพระราชบิดาของท่านหมายฆ่าดาวิดเสีย 34 โยนาธานจึงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนักมิได้รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านได้หยามน้ำหน้าดาวิด
35 รุ่งเช้าขึ้นโยนาธานก็ออกไปที่ทุ่งนาตามที่นัดหมายไว้กับดาวิด มีเด็กไปด้วยคนหนึ่ง 36 และท่านสั่งเด็กนั้นว่า ¡°จงวิ่งไปหาลูกธนูที่ฉันยิงไป¡± เมื่อเด็กนั้นวิ่งไป โยนาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งขึ้นหน้าไป 37 และเมื่อเด็กนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานยิงไปนั้น โยนาธานก็ร้องสั่งเด็กนั้นว่า ¡°ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ¡± 38 และโยนาธานร้องสั่งเด็กนั้นว่า ¡°จงรีบไปโดยเร็วอย่าหยุดอยู่¡± เด็กของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนู และกลับมาหานายของตน 39 แต่เด็กนั้นไม่ทราบเรื่อง โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่ทราบ 40 และโยนาธานก็มอบอาวุธของท่านให้เด็กนั้น และบอกเขาว่า ¡°ไป จงแบกสิ่งเหล่านี้ไปในเมือง¡± 41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากที่ที่อยู่ทิศใต้ซบหน้าลงถึงดิน แล้วกราบลงสามครั้ง และทั้งสองก็จุบกัน และร้องไห้กัน จนดาวิดร้องมากเหลือเกิน 42 โยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า ¡°ขอจงไปเป็นสุขเถิด เพราะเราทั้งสองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระเจ้าว่า ¡®พระเจ้าจะทรงเป็นพยานระหว่างฉันและเธอ และระหว่างพงศ์พันธุ์ของฉันกับพงศ์พันธุ์ของเธอสืบไปเป็นนิตย์¡¯ ¡± ดาวิดก็ลุกขึ้นจากไป และโยนาธานก็เข้าไปในเมือง


3. ดาวิดหนีไปที่เมืองโนบ 21:1-9
1 แล้วดาวิดก็มาหาอาหิเมเลคปุโรหิตเมืองโนบ และอาหิเมเลคออกมาหาดาวิดตัวสั่นอยู่พูดกับท่านว่า ¡°ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีผู้ใดมากับท่าน¡± 2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า ¡°พระราชาทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่ง รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า ¡®อย่าบอกเรื่องซึ่งเราใช้เจ้าไปกระทำนั้นแก่ผู้ใดให้รู้เลย และด้วยเรื่องซึ่งเรามอบหมายแก่เจ้านั้น¡¯ ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่ม ณ ที่แห่งหนึ่ง 3 ท่านมีอะไรติดมืออยู่บ้างเล่า ขอขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรๆ ที่มีที่นี่ก็ได้¡± 4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า ¡°ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาเลย แต่มีขนมปังบริสุทธิ์ ขอแต่คนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาแล้วก็แล้วกัน¡± 5 และดาวิดก็ตอบท่านปุโรหิตว่า ¡°ที่จริงเมื่อเราทั้งหลายออกไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็ถูกกันให้ห่างจากเราอย่างทุกครั้ง การเดินทางธรรมดากายของคนหนุ่มก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้กายของเราก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า¡± 6 ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังให้แก่ดาวิดเพราะที่นั่นไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังที่ตั้งถวายซึ่งเก็บมาจากหน้าพระพักตร์พระเจ้าเพื่อวางขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
7 ในวันนั้นมีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นเป็นผู้รับใช้ของซาอูล มีธุระต้องเฝ้าพระเจ้าอยู่ เขาชื่อโดเอก คนเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล
8 และดาวิดกล่าวแก่อาหิเมเลคว่า ¡°ท่านไม่มีหอกหรือดาบติดมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ ด้วยข้าพเจ้ามิได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะราชการของพระราชาเป็นการด่วน¡± 9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า ¡°ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านฆ่าเสียที่หุบเขาเอลาห์นั้น ดูเถิด ยังห่อผ้าอยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบนั้นจงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนั้นแล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก¡± และดาวิดกล่าวว่า ¡°ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด¡±

4. ดาวิดหนีไปที่เมืองกัท 21:10-15
10 และดาวิดก็ลุกขึ้นในวันนั้น หนีจากซาอูลไปหาอาคีชพระราชาเมืองกัท 11 และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า ¡°ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้นรำและขับเพลงรับกันหรือว่า
¡®ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ¡¯ ¡±
12 และดาวิดก็จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีชกษัตริย์เมืองกัท 13 ท่านจึงเปลี่ยนอากัปกริยาต่อหน้าเขาทั้งหลาย และกระทำตนเป็นคนบ้าเที่ยวกาไว้ที่ประตู และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา 14 อาคีชจึงสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า ¡°นี่แน่ะ เจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วเจ้าพาเขามาหาเราทำไม 15 ข้าขาดคนบ้าหรือ เจ้าจึงพาคนนี้มาทำบ้าให้ข้าดู คนอย่างนี้ควรเข้ามาในนิเวศของข้าหรือ¡±

5. ซาอูลฆ่าปุโรหิตของเมืองโนบที่ช่วยดาวิด 22:
a. ดาวิดหนีไปอดุลลัม และ มิสปาห์ 22:1-5
1 ดาวิดก็จากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพี่ชายของท่านและพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้นได้ยินเรื่องเขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น 2 นอกนั้นทุกคนที่มีความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่านประมาณสี่ร้อยคน
3 ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลพระราชาเมืองโมอับว่า ¡°ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า¡± 4 และท่านก็นำบิดามารดามาฝากไว้กับพระราชาแห่งโมอับ และท่านทั้งสองก็อาศัยอยู่กับพระราชาตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง 5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดกล่าวแก่ดาวิดว่า ¡°ท่านอย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงไปเข้าในแผ่นดินยูดาห์เถิด¡± ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท
ซาอูลทรงประหารปุโรหิตเมืองโนบ

b. ซาอูลฆ่าปุโรหิตของเมืองโนบที่ช่วยดาวิด 22:6-23
6 ฝ่ายซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและคนที่อยู่กับท่าน เวลานั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอก ณ ที่เนินสูง ทรงหอกอยู่และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ยืนอยู่รอบพระองค์ 7 และซาอูลตรัสกับผู้รับใช้ที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า ¡°เจ้าทั้งหลายพวกคนเบนยามิน จงฟังเถิด บุตรของเจสซีจะให้นาและสวนองุ่นแก่เจ้าหรือ จะตั้งเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพันกองร้อยหรือ 8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเราไม่มีใครแจ้งแก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่นผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้¡± 9 โดเอกคนเอโดมซึ่งยืนอยู่ใกล้ผู้รับใช้ของซาอูลจึงทูลตอบว่า ¡°ข้าพระบาทเห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบมาหาอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ 10 แล้วเขาก็ทูลถามพระเจ้าให้ท่าน และให้เสบียงอาหาร และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่ท่านไป¡±
11 แล้วพระราชาก็ใช้ให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรอาหิทูบ และพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้น ผู้เป็นปุโรหิตเมืองโนบ ทุกคนก็มาหาพระราชา 12 และซาอูลตรัสว่า ¡°บุตรอาหิทูบเอ๋ย จงฟังเถิด¡± เขาทูลตอบว่า ¡°เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทอยู่ที่นี่¡± 13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า ¡°ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเราทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้¡± 14 และอาหิเมเลคทูลตอบพระราชาว่า ¡°ในบรรดาข้าราชการผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท มีผู้ใดเล่าที่จะซื่อสัตย์อย่างดาวิด พระราชบุตรเขยของพระราชาผู้บังคับบัญชาทหารราชองครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของฝ่าพระบาท 15 ในวันนี้ข้าพระบาทได้ทูลขอพระเจ้าเพื่อเขาจริงหรือ เปล่าเลย ขอพระราชาอย่าทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือพงศ์พันธุ์ของบิดาของข้าพระบาท เพราะผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทไม่ทราบเรื่องนี้เลยไม่ว่ามากหรือน้อย¡± 16 พระราชาตรัสว่า ¡°อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย¡± 17 และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า ¡°จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้¡± แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือทำกับปุโรหิตของพระเจ้า 18 แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า ¡°เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น¡± โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน 19 และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ
20 แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ ชื่ออาบียาธาร์ได้รอดพ้นและหนีตามดาวิดไป 21 อาบียาธาร์ก็บอกดาวิดว่าซาอูลได้ประหารปุโรหิตของพระเจ้าเสีย 22 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ว่า ¡°ในวันนั้นเมื่อโดเอกอยู่ที่นั่น เรารู้แล้วว่า เขาจะต้องทูลซาอูลแน่ เราเป็นต้นเหตุแห่งความตายของบุคคลในครอบครัวบิดาของท่าน 23 จงอยู่เสียกับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะถ้าเขาแสวงชีวิตของท่าน ก็แสวงชีวิตของเราด้วย ท่านอยู่กับเราก็จะพ้นภัย¡±


6. ดาวิดหนีจากตามล่าของซาอูล 23:
a. ดาวิดช่วยเมืองเคอีลาห์ 23:1-14
1 เขาบอกดาวิดว่า ¡°ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่และปล้นเอาข้าวที่ลาน¡± 2 ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า ¡°ควรที่ข้าพระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่¡± และพระเจ้าตรัสกับดาวิดว่า ¡°จงไปต่อสู้คนฟีลิสเตียและช่วยเมืองเคอีลาห์ไว้¡± 3 แต่คนของดาวิดเรียนท่านว่า ¡°ดูเถิด เราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับกองทัพของฟีลิสเตียเราจะยิ่งกลัวมากขึ้นเท่าใด¡± 4 แล้วดาวิดก็ทูลถามพระเจ้าอีก และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า ¡°จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า¡± 5 และดาวิดกับคนของท่านก็ไปยังเคอีลาห์ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย นำเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป และฆ่าฟันเขาทั้งหลายเสียเป็นอันมาก ดังนั้นแหละดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์ไว้
6 อยู่มาเมื่ออาบียาธาร์บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย 7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า ¡°พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะที่เขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูและดาล เขาก็ขังตัวเองไว้¡± 8 และซาอูลทรงให้เรียกพลทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับคนของท่านไว้ 9 ดาวิดทราบว่าซาอูลทรงคิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า ¡°จงนำเอาเอโฟดมาที่นี่เถิด¡± 10 ดาวิดกราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่ว่าซาอูลหาช่องที่จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ 11 ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือท่านหรือ ซาอูลจะเสด็จมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด¡± และพระเจ้าตรัสว่า ¡°เขาจะลงมา¡± 12 แล้วดาวิดจึงกราบทูลว่า ¡°ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์และคนของข้าพระองค์ไว้ในมือของซาอูลหรือ¡± และพระเจ้าตรัสว่า ¡°เขาทั้งหลายจะมอบเจ้าไว้¡± 13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคน ก็ลุกขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์และเขาทั้งหลายก็ไปตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรงเลิกการติดตาม 14 และดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารตามที่กำบังเข้มแข็งและอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดาร และซาอูลก็ทรงแสวงท่านทุกวัน แต่พระเจ้ามิได้มอบท่านไว้ในมือของซาอูล

b. การพบดาวิดกับโยนาธานครั้งสุดท้าย 15-18
15 และดาวิดเห็นว่าซาอูลได้ทรงออกมาแสวงชีวิตของเธอ ดาวิดอยู่ในป่าศิฟที่โฮเรช 16 และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิดที่โฮเรช และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า 17 โยนาธานพูดกับเธอว่า ¡°อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาเธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย¡± 18 และทั้งสองก็กระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้า ดาวิดยังค้างอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง

c. ดาวิดหนีจากตามล่าของซาอูล 19-29
19 ฝ่ายชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ทูลว่า ¡°ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระบาท ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ 20 ข้าแต่พระราชา เพราะฉะนั้นขอเสด็จลงไปตามพระทัยปรารถนาที่จะลงไป ฝ่ายพวกข้าพระบาทจะมอบเขาไว้ในหัตถ์ของพระราชา¡± 21 และซาอูลตรัสว่า ¡°ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านปรานีเรา 22 จงไปหาดูให้แน่นอนยิ่งขึ้น ดูให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง เพราะมีคนบอกข้าว่า เขาฉลาดนัก 23 เพราะฉะนั้นจงไปสังเกตดูที่ซุ่มว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนและกลับมา เอาเนื้อความแน่นอนมาบอกเรา แล้วเราจะไปกับท่าน ถ้าเขาอยู่ในเขตแผ่นดิน เราจะค้นหาเขาในหมู่คนตระกูลยูดาห์¡± 24 เขาทั้งหลายก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล
ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในอาราบาห์ใต้เยชิโมน 25 ซาอูลกับคนของพระองค์ก็แสวงท่าน มีคนบอกดาวิด ท่านจึงลงไปยังศิลาและอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบดังนั้นก็ทรงติดตามดาวิดไปในถิ่นทุรกันดารมาโอน 26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่งดาวิดกับคนของท่านอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดก็รีบหนีจากซาอูล เพราะซาอูลกับคนของพระองค์เข้ามาใกล้ดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ 27 แต่มีผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลว่า ¡°ขอรีบเสด็จกลับ เพราะพวกฟีลิสเตียยกกองทัพมาปล้นแผ่นดิน¡± 28 ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดไปรบกับฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่าศิลาพ้นภัย 29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นไปอาศัยอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี


7. การรักษาชีวิตของซาอูลใน ถ้ำอนเกดี 24:
a. ดาวิดไม่ฆ่าซาอูลที่มีโอกาส 1-7
1 อยู่มาเมื่อซาอูลเสด็จกลับจากการไล่ตามคนฟีลิสเตียแล้ว มีคนมาทูลว่า ¡°ดูเถิด ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารเมืองเอนเกดี¡± 2 แล้วซาอูลก็ทรงนำพลที่คัดเลือกจากคนอิสราเอลแล้วสามพันคน ไปแสวงหาดาวิดกับคนของท่านที่หินเลียงผา 3 และพระองค์เสด็จมาที่คอกแกะริมทาง มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งที่นั่น และซาอูลก็เสด็จเข้าไปส่งทุกข์ ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านนั่งอยู่ที่ส่วนลึกที่สุดของถ้ำ 4 คนของดาวิดก็เรียนท่านว่า ¡°วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า ¡®ดูเถิด เราจะได้มอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า และเจ้าจะทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นควร¡¯ ¡± แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นย่องเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล 5 อยู่มาภายหลังดาวิดก็เสียใจ เพราะท่านได้ตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล 6 ท่านว่าแก่คนของท่านว่า ¡°ขอพระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับท่าน ด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้¡± 7 ดาวิดก็ห้ามคนของท่านด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และไม่ยอมให้เขาทั้งหลายทำร้ายซาอูล และซาอูลก็ทรงลุกขึ้นออกจากถ้ำเสด็จไปตามทางของพระองค์

b. ดาวิดแจ้งให้ซาอูลทราบว่าดาวิดช่วย กู้ชีวิตซาอูล 8-15
8 ภายหลังดาวิดก็ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า ¡°ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท¡± และเมื่อซาอูลทรงเหลียวดู ดาวิดก็ก้มลงถึงดินกราบไหว้ 9 และดาวิดทูลซาอูลว่า ¡°ไฉนพระองค์ทรงฟังถ้อยคำของคนที่กล่าวว่า ¡®ดูเถิด ดาวิดแสวงที่จะทำร้ายพระองค์¡¯ 10 นี่แน่ะ วันนี้พระเนตรของฝ่าพระบาทประจักษ์แล้วว่า พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาทในวันนี้ไว้ในมือของข้าพระบาทที่ในถ้ำ และบางคนได้ขอให้ข้าพระบาทประหารฝ่าพระบาทเสีย แต่ข้าพระบาทก็ได้ไว้พระชนม์ของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทพูดว่า ¡®ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้¡¯ 11 ดูเถิด เสด็จพ่อของข้าพระบาท ขอดูชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระบาท เพราะโดยเหตุที่ว่าข้าพระบาทได้ตัดชายฉลองพระองค์ออก และมิได้ประหารฝ่าพระบาทเสีย ขอฝ่าพระบาททรงทราบและทรงเห็นเถิดว่าในมือของข้าพระบาทไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระบาทมิได้กระทำบาปต่อฝ่าพระบาท แม้ว่าฝ่าพระบาทจะล่าชีวิตของข้าพระบาทเพื่อจะทำลายเสีย 12 ขอพระเจ้าทรงพิพากษาระหว่างข้าพระบาทและฝ่าพระบาท ขอพระเจ้าทรงแก้แค้นแทนข้าพระบาทต่อฝ่าพระบาท แต่มือของข้าพระบาทจะไม่กระทำอะไรต่อฝ่าพระบาท 13 ดังสุภาษิตโบราณว่า ¡®ความอธรรมก็ออกมาจากคนอธรรม¡¯ แต่มือของข้าพระบาทจะไม่กระทำอะไรต่อฝ่าพระบาท 14 พระราชาแห่งอิสราเอลออกมาตามผู้ใด ฝ่าพระบาทไล่ตามผู้ใด ไล่ตามสุนัขที่ตายแล้ว ไล่ตามตัวหมัด 15 เพราะฉะนั้นขอพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา และขอทรงประทานคำพิพากษาระหว่างข้าพระบาทและฝ่าพระบาท และทอดพระเนตร และขอว่าความฝ่ายข้าพระองค์ และขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นหัตถ์ของฝ่าพระบาท¡±

c. การตอบเสนองของซาอูลต่อดาวิด 16-22
16 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลคำเหล่านี้ต่อซาอูลแล้ว ซาอูลตรัสว่า ¡°ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ¡± ซาอูลก็ทรงส่งเสียงกันแสง 17 พระองค์ตรัสกับดาวิดว่า ¡°เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าได้ตอบแทนเจ้าด้วยความร้าย 18 เจ้าได้ประกาศในวันนี้แล้วว่า เจ้าได้กระทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้ามิได้ประหารข้าเสีย ในเมื่อพระเจ้าทรงมอบข้าไว้ในมือของเจ้าแล้ว 19 เพราะว่าผู้ใดพบศัตรูของตน เขาจะยอมให้ปลอดภัยไปหรือ ดังนั้นขอพระเจ้าทรงกระทำดีแก่เจ้า สนองการที่เจ้าได้กระทำแก่ข้าในวันนี้ 20 บัดนี้ ดูเถิด ข้าประจักษ์แล้วว่า เจ้าจะเป็นพระราชาแน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะสถาปนาอยู่ในมือของเจ้า 21 เพราะฉะนั้นจงปฏิญาณให้แก่ข้าในพระนามของพระเจ้า ว่าเจ้าจะไม่ตัดพงศ์พันธุ์ของข้าเสียเมื่อข้าตายไป และเจ้าจะไม่ทำลายชื่อของข้าเสียจากพงศ์พันธุ์บิดาของข้า¡± 22 ดาวิดก็ปฏิญาณให้แก่ซาอูล แล้วซาอูลก็เสด็จกลับพระราชวัง และดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปยังที่กำบังเข้มแข็ง

8. ดาวิดรับอาบิกายิลเป็นภรรยาของตน 25:
a. นาบาลปฏิเสธการขอช่วยเหลือของดาวิด 1-13
1 ฝ่ายซามูเอลก็สิ้นชีวิตและคนอิสราเอลทั้งปวงก็ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และเขาทั้งหลายก็ฝังศพท่านไว้ในบ้านของท่านที่รามาห์
และดาวิดก็ลุกขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน 2 มีชายคนหนึ่งในมาโอนมีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพันเขาตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล 3 ชายคนนั้นชื่อนาบาล และภรรยาของท่านชื่ออาบีกายิล สตรีคนนั้นมีความรอบคอบและหน้าตาสวยงามด้วย แต่ชายคนนั้นเป็นคนสามานย์และประพฤติตัวเลวทราม เป็นวงศ์วานของคาเลบ 4 ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารทราบว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ 5 ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน และดาวิดสั่งชายหนุ่มเหล่านั้นว่า ¡°จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา 6 ท่านทั้งหลายจงกล่าวคำคำนับเขาเช่นนี้ว่า ¡®สวัสดิภาพจงมีแก่ท่าน สวัสดิภาพจงมีแก่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่บรรดาสิ่งที่ท่านมี 7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะ ฝ่ายผู้เลี้ยงแกะของท่านนั้นอยู่กับเรา เรามิได้กระทำอันตรายเขาเลย และเขาก็มิได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่เขาอยู่ในคารเมล 8 ขอถามคนหนุ่มของท่านดูเถิด เขาทั้งหลายคงจะบอกแก่ท่าน เพราะฉะนั้นขอให้คนหนุ่มของข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน เพราะเรามาในวันมีการเลี้ยง ขอท่านได้ให้สิ่งที่มีติดมือของท่านแก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน¡¯ ¡±
9 เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิดมาถึงก็กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาลในนามของดาวิด และเขาทั้งหลายก็คอยอยู่ 10 และนาบาลตอบคนรับใช้ของดาวิดว่า ¡°ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน 11 ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับคนตัดขนแกะของข้ามอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้¡± 12 พวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับ และมาบอกเรื่องราวทั้งสิ้นนี้แก่ดาวิด 13 และดาวิดสั่งคนของท่านว่า ¡°ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้¡± และทุกคนก็เอาดาบคาดเอวของตน และดาวิดก็เอาดาบคาดเอวด้วยและมีคนติดตามดาวิดไปประมาณสี่ร้อยคน ส่วนอีกสองร้อยคนอยู่เฝ้ากองสัมภาระ

b. อาบิกายิลพยายามให้นาบาลคึนดีกับดาวิด 14-35
14 แต่มีคนหนุ่มคนหนึ่งไปบอกนางอาบีกายิลภรรยาของนาบาลว่า ¡°ดูเถิด ดาวิดส่งผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดารเพื่อจะคำนับนายของเราและนายกลับดุว่าคนเหล่านั้น 15 แต่คนเหล่านั้นเคยดีต่อเรามาก และเราไม่ต้องถูกทำร้ายอย่างใดเลย และไม่ขาดสิ่งไรตราบใดที่เราไปกับเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา 16 เขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้งกลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับเขา 17 บัดนี้ขอท่านทราบเรื่องนี้และพิจารณาว่าท่านควรจะกระทำประการใด เพราะเขาคงมุ่งร้ายต่อนายของเรา และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนาย นายนั้นเป็นคนสามหาว ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้¡±
18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และเหล้าองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อและขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา 19 นางก็สั่งชายหนุ่มของนางว่า ¡°จงรีบไปก่อนเรา ดูเถิด เราจะตามเจ้าไป¡± แต่นางมิได้บอกนาบาลสามีของนาง 20 เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังฝ่ายนางอยู่ ดูเถิด ดาวิดกับคนของท่านก็ลงมาทางนาง และนางก็พบเขาทั้งหลายเข้า 21 ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า ¡°ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และเขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี 22 ถ้าถึงพรุ่งนี้เช้าข้ายังปล่อยให้ชายสักคนหนึ่งในบรรดาที่เขามีอยู่นั้นเหลืออยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และยิ่งหนักกว่า¡±
23 เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิดนางก็รีบลงจากหลังลา ซบหน้าลงต่อดาวิดกราบลงถึงดิน 24 นางกราบลงที่เท้าของดาวิดกล่าวว่า ¡°เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้ผู้รับใช้ของท่านได้พูดให้ท่านฟัง ขอท่านได้โปรดฟังเสียงผู้รับใช้ของท่าน 25 ขอเจ้านายของดิฉันอย่าได้เอาความกับนาบาลชายสามหาวคนนี้เลย คือนาบาล เพราะเขาเป็นอย่างที่ชื่อของเขาบอก นาบาลเป็นชื่อของเขา และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา แต่ดิฉันผู้รับใช้ของท่านหาได้เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านได้ใช้ไปนั้นไม่ 26 เหตุฉะนั้นเจ้านายของดิฉัน พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ด้วยว่าพระเจ้าทรงกระทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง เพราะฉะนั้นขอให้ศัตรูของท่าน และบรรดาผู้ที่กระทำร้ายต่อเจ้านายของดิฉันจงเป็นอย่างนาบาล 27 สิ่งเหล่านี้ซึ่งผู้รับใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของดิฉัน ขอมอบแก่บรรดาคนหนุ่มซึ่งติดตามเจ้านายของดิฉัน 28 ได้โปรดอภัยความผิดของผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะพระเจ้าคงทรงกระทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคง ด้วยว่าเจ้านายของดิฉันทำสงครามอยู่ฝ่ายพระเจ้า ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่จะหาความชั่วที่ตัวท่านไม่ได้เลย 29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในความพิทักษ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง 30 และเมื่อพระเจ้าจะทรงกระทำแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ตามบรรดาความดีซึ่งพระองค์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวกับท่านและทรงตั้งท่านไว้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล 31 เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่ต้องเศร้าใจหรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิตเขาตกด้วยไม่มีสาเหตุหรือเพราะเจ้านายของดิฉันทำการแก้แค้นเสียเอง และเมื่อพระเจ้าทรงกระทำความดีแก่เจ้านายของดิฉันแล้วก็ขอระลึกถึงผู้รับใช้ของท่านบ้าง¡±
32 ดาวิดจึงกล่าวแก่อาบีกายิลว่า ¡°สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้ 33 ขอให้ความสุขุมของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้าได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง 34 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงระงับเราเสียจากการกระทำร้ายเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้ามิได้รีบมาพบเราเสีย ถึงพรุ่งนี้เช้าคงไม่มีเหลือแก่นาบาลแม้แต่เพียงชายสักคนหนึ่งเป็นแน่¡± 35 แล้วดาวิดก็รับบรรดาสิ่งที่นางนำมาจากมือของนาง และดาวิดกล่าวแก่นางว่า ¡°จงกลับไปยังบ้านเรือนของเจ้าด้วยสวัสดิภาพเถิด ดูซิเราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเราก็ได้อนุโลมตามคำขอร้องของเจ้า¡±

c. ดาวิดรับอาบิกายิลเป็นภรรยาของตน 36-44
36 และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และนี่แน่ะ เขากำลังมีการเลี้ยงใหญ่ในบ้านของเขาอย่างการเลี้ยงของพระราชา และจิตใจของนาบาลก็ร่าเริงอยู่ เพราะเขามึนเมามาก นางจึงมิได้บอกอะไรให้เขาทราบจนเวลารุ่งเช้า 37 และในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ให้ฟัง และจิตใจของเขาก็ตายเสียภายใน และเขากลายเป็นดังก้อนหิน 38 อยู่มาอีกประมาณสิบวันพระเจ้าทรงประหารนาบาลและท่านก็สิ้นชีวิต
39 เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจึงว่า ¡°สาธุการแด่พระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาลและทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้ทำความชั่ว พระเจ้าทรงตอบแทนการกระทำชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง¡± แล้วดาวิดก็ส่งคนไปสู่ขออาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของท่าน 40 และเมื่อผู้รับใช้ของดาวิดมาถึงอาบีกายิลที่คารเมล เขาทั้งหลายก็พูดกับนางว่า ¡°ดาวิดได้ให้เราทั้งหลายมานำเธอไปให้เป็นภรรยาของท่าน¡± 41 และนางก็ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดินกล่าวว่า ¡°ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่จะล้างเท้าให้แก่ผู้รับใช้แห่งเจ้านายของดิฉัน¡± 42 อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาตัวหนึ่งพร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัติเธออีกห้าคน นางตามผู้สื่อข่าวของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของดาวิด
43 ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอลมาด้วย และทั้งสองก็เป็นภรรยาของท่าน 44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมแล้ว


9. การรักษาชีวิตของซาอูลในถิ่นกันดารศิป 26:
a. ดาวิดช่วยกู้ชีวิตซาอูล 1-12
1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ทูลว่า ¡°ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยชิโมนมิใช่หรือ¡± 2 ซาอูลจึงทรงลุกขึ้นลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับชายอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วสามพันคน เพื่อแสวงดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ 3 และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ข้างถนนทางทิศตะวันออกของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อท่านเห็นว่าซาอูลเสด็จมาหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร 4 ดาวิดก็ส่งผู้สอดแนมออกไป จึงทราบว่าซาอูลทรงยกมาแน่แล้ว 5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์
6 แล้วดาวิดก็พูดกับอาหิเมเลคคนฮิตไทต์ และกับอาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบว่า ¡°ผู้ใดจะลงไปในค่ายของซาอูลกับเราบ้าง¡± อาบีชัยตอบว่า ¡°ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน¡± 7 ดาวิดและอาบีชัยจึงลงไปที่กองทัพในเวลากลางคืน และดูเถิด ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย มีหอกปักอยู่ที่ที่ดินตรงศีรษะ อับเนอร์กับพวกพลก็นอนล้อมพระองค์อยู่ 8 อาบีชัยพูดกับดาวิดว่า ¡°ในวันนี้พระเจ้าทรงมอบศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าแทงเขาด้วยหอกให้ติดดิน ครั้งเดียวก็พอ และข้าพเจ้าไม่ต้องแทงเขาครั้งที่สอง¡± 9 แต่ดาวิดบอกอาบีชัยว่า ¡°ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะผู้ใดเล่าจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเจิมไว้ และจะไม่มีความผิด¡± 10 และดาวิดกล่าวว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้าจะทรงฆ่าพระองค์ท่านเอง หรือจะถึงวันกำหนดที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ หรือพระองค์จะเสด็จเข้าสงครามและพินาศเสีย 11 ขอพระเจ้าทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ บัดนี้จงเอาหอกที่อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด¡± 12 ดาวิดจึงเอาหอกและเหยือกน้ำจากที่พระเศียรของซาอูล และเขาทั้งสองก็ออกไป ไม่มีใครเห็นไม่มีใครทราบ และไม่มีคนใดตื่นเพราะเขาหลับสนิททุกคน เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้เขาหลับสนิท


b. ซาอูลแสดงขอบคุณดาวิด และกลับ 13-25
13 และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่งไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย 14 ดาวิดก็ตะโกนเรียกพวกพลและเรียกอับเนอร์บุตรเนอร์ว่า ¡°อับเนอร์เอ๋ย ท่านไม่ตอบหรือ¡± แล้วอับเนอร์ตอบว่า ¡°ใครนั่นที่มาร้องเรียกพระราชา¡± 15 และดาวิดตอบอับเนอร์ว่า ¡°ท่านไม่ใช่ผู้ชายดอกหรือ ในอิสราเอลมีใครเหมือนท่านบ้าง ทำไมท่านไม่เฝ้าพระราชาเจ้านายของท่านไว้ให้ดี เพราะมีคนหนึ่งเข้าไปจะทำลายพระราชาเจ้านายของท่าน 16 ที่ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ดีแน่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านควรตายเพราะท่านมิได้เฝ้าเจ้านายของท่านไว้ให้ดี ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ บัดนี้ตรวจดูทีว่า หอกของพระราชาอยู่ที่ไหน และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน¡±
17 ซาอูลทรงจำสำเนียงดาวิดได้จึงตรัสว่า ¡°ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ¡± และดาวิดทูลว่า ¡°ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท เป็นเสียงข้าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ¡± 18 และท่านทูลต่อไปว่า ¡°ไฉนเจ้านายของข้าพระบาทจึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระบาทได้กระทำอะไรไป มือข้าพระบาทผิดอย่างไรเล่า 19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงฟังเสียงผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ถ้าพระเจ้าทรงปลุกปั่นฝ่าพระบาทให้ต่อสู้ข้าพระบาท ขอพระเจ้าให้ได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นคนยุ ก็ขอให้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระบาทออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า โดยกล่าวว่า ¡®จงไปปรนนิบัติพระอื่น¡¯ 20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระบาทตกถึงดินไกลจากพระพักตร์พระเจ้า เพราะพระราชาแห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่งไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา¡±
21 แล้วซาอูลตรัสว่า ¡°ข้าได้กระทำผิดแล้ว ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย จงกลับเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกต่อไป เพราะในวันนี้ชีวิตของเราก็ประเสริฐในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราสำแดงตัวเป็นคนเขลาและได้กระทำผิดมาก¡± 22 และดาวิดทูลว่า ¡°ข้าแต่พระราชา หอกนั้นอยู่ที่นี่ ขอรับสั่งให้คนหนุ่มคนหนึ่งมารับไปจากที่นี่ 23 พระเจ้าทรงประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและความสัตย์ซื่อของเขา เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของข้าพระบาทแล้ว แต่ข้าพระบาทมิได้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ 24 ดูเถิด ในสายตาของข้าพระบาท ชีวิตของฝ่าพระบาทนั้นประเสริฐ จึงขอให้ชีวิตของข้าพระบาทประเสริฐในสายพระเนตรของพระเจ้า และขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทให้พ้นจากบรรดาความทุกข์ยากลำบาก¡± 25 แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า ¡°ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงอวยพรเจ้า เจ้าจะกระทำหลายสิ่งหลายอย่างและจะสำเร็จแน่¡± ดาวิดจึงไปตามทางของท่านและซาอูลก็เสด็จกลับสู่ราชสำนักของพระองค์


10. ดาวิดหนีไปที่กัทอีก 27:
1 ดาวิดนึกในใจว่า ¡°ข้าคงจะพินาศสักวันหนึ่งด้วยมือของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีไปอยู่ที่แผ่นดินคนฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงเลิกไม่ติดตามข้าอีก ภายในพรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากมือของท่านได้¡± 2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่านหกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรมาโอค กษัตริย์เมืองกัท 3 และดาวิดก็อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท คือตัวท่านและคนของท่าน ทุกคนมีครัวเรือนไปด้วย ทั้งดาวิดพร้อมกับภรรยาสองคน คืออาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลชาวคารเมลแม่ม่ายของนาบาล 4 และเมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว พระองค์ก็มิได้แสวงท่านอีกต่อไป
5 แล้วดาวิดจึงทูลอาคีชว่า ¡°ถ้าข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงให้เขามอบที่ในหัวเมืองแก่ข้าพระบาทสักแห่งหนึ่ง เพื่อข้าพระบาทจะได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไฉนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะอยู่ในกรุงกับฝ่าพระบาทเล่า¡± 6 ในวันนั้นอาคีชทรงมอบเมืองศิกลากให้ ศิกลากจึงเป็นหัวเมืองขึ้นแก่กษัตริย์ยูดาห์จนถึงทุกวันนี้ 7 ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียนั้น เป็นหนึ่งปีกับสี่เดือน
8 ฝ่ายดาวิดกับคนของท่าน ก็ขึ้นไปปล้นชาวเกชูร์ คนเกอร์กาชี คนอามาเลข เพราะประชาชาติเหล่านี้เป็นชาวแผ่นดินนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์ 9 ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช 10 เมื่อไรอาคีชถามว่า ¡°วันนี้ท่านไปปล้นผู้ใดมา¡± ดาวิดก็ทูลว่า ¡°ปล้นถิ่นใต้ที่แผ่นดินยูดาห์¡± หรือ ¡°ปล้นเนเกบที่ตระกูลเยราเมเอล¡± หรือ ¡°ปล้นถิ่นใต้คนเคไนต์¡± 11 ดาวิดมิได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำมาที่เมืองกัท โดยคิดว่า ¡°เกรงว่า เขาจะบอกเรื่องของเรา และกล่าวว่า ¡®ดาวิดได้ทำอย่างนั้นๆ¡¯ ¡± นี่เป็นวิธีการ ขณะที่ท่านอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตีย 12 อาคีชทรงวางพระทัยในดาวิด ด้วยทรงดำริว่า ¡°เขาได้กระทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดอย่างที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้รับใช้ของเราได้ตลอดไป¡±

D. ชีวิตสุดท้ายของซาอูล 28:-31:
1. ซาอูลไปหาหญิงคนทรงในเมืองเอนโดร 28:
a. ความลำบากของดาวิด และ ซาอูล 1-7
1 อยู่มาในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลัง เพื่อทำสงครามสู้รบกับอิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า ¡°จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคนของท่านจะออกทัพไปกับเรา¡± 2 ดาวิดทูลอาคีชว่า ¡°ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไรได้บ้าง¡± และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า ¡°ดีแล้ว เราจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของเราตลอดชีพ¡±
ซาอูลและคนทรงที่เมืองเอนโดร์
3 ฝ่ายซามูเอลได้สิ้นชีพแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ไว้ทุกข์ให้ท่านและฝังศพท่านไว้ในเมืองรามาห์ ซึ่งเป็นเมืองของท่านเอง และซาอูลทรงกำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน 4 คนฟีลิสเตียก็ชุมนุมกันและมาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา 5 เมื่อซาอูลทอดพระเนตรกองทัพของคนฟีลิสเตียก็กลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก 6 และเมื่อซาอูลทูลถามพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ 7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาดเล็กของพระองค์ว่า ¡°จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรงเพื่อเราจะได้ไปหาและถามเขาดู¡± และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า ¡°ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์¡±

b. ซาอูลไปหาหญิงคนทรงในเมืองเอนโดร 8-19
8 ซาอูลจึงปลอมพระองค์และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่นเสด็จออกไป พร้อมกับชายสองคน ไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า ¡°ขอทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อผู้ใดก็ให้เรียกผู้นั้นขึ้นมา¡± 9 หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า ¡°ท่านคงทราบแน่แล้วว่าซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้กำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า¡± 10 แต่ซาอูลทรงปฏิญาณกับหญิงนั้นในพระนามของพระเจ้าว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกโทษเพราะเรื่องนี้แน่ฉันนั้น¡± 11 หญิงนั้นจึงทูลถามว่า ¡°ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมา¡± ซาอูลตรัสว่า ¡°เรียกซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน¡± 12 และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล จึงร้องเสียงดังและหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า ¡°ไฉนพระองค์จึงทรงล่อลวงหม่อมฉัน พระองค์คือซาอูล¡± 13 พระราชาตรัสแก่นางว่า ¡°อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไร¡± และหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า ¡°หม่อมฉันเห็นเทพยเจ้าองค์หนึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน¡± 14 พระองค์ถามนางว่า ¡°รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร¡± และนางตอบว่า ¡°เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมามีเสื้อคลุมกายอยู่¡± ซาอูลก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์ทรงโน้มพระกายลงถึงดินกราบไหว้
15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า ¡°ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม¡± ซาอูลทรงตอบว่า ¡°ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอเรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดดี¡± 16 และซามูเอลตอบว่า ¡°ในเมื่อพระเจ้าทรงหันจากท่านเสียแล้ว และเป็นศัตรูของท่าน ท่านจะมาถามข้าพเจ้าทำไมเล่า 17 พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่านอย่างที่พระองค์ตรัสบอกทางข้าพเจ้าแล้วนั้น เพราะพระเจ้าทรงฉีกราชอาณาจักรนั้นออกเสียจากมือของท่านและทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด 18 เพราะท่านมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า มิได้กระทำตามพระพิโรธของพระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงกระทำสิ่งนี้แก่ท่านในวันนี้ 19 ยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอลพร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา และพระเจ้าจะทรงมอบกองทัพอิสราเอลไว้ในมือของคนฟีลิสเตียด้วย¡±

c. ซาอูลหมดกำลัง 20-25
20 แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินในทันที กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยมาตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว 21 หญิงนั้นก็เข้ามาหาซาอูล และเมื่อนางเห็นว่าพระองค์ตกพระทัยมาก จึงทูลว่า ¡°ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทก็ย่อมฟังรับสั่งของฝ่าพระบาทยอมเสี่ยงชีวิต และยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสสั่งทุกประการ 22 เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทจงฟังเสียงผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทบ้าง ขอหม่อมฉันได้ถวายพระกระยาหารแก่พระองค์สักหน่อยหนึ่ง ขอพระองค์เสวย เพื่อพระองค์จะทรงมีพระกำลังเมื่อกลับตามทางของพระองค์¡± 23 พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า ¡°ไม่กิน¡± แต่มหาดเล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นประทับบนเตียง 24 หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ 25 นางก็นำมาถวายแก่ซาอูลและทรงเสวย กับให้มหาดเล็กเขารับประทาน แล้วก็ทรงลุกขึ้นเสด็จกลับไปในคืนนั้น


2. ดาวิดเข้าอยู่กับฟีลิสเตีย 29:
a. นายทหารฟีลิสเตียไม่ไว้ใจดาวิด 1-5
1 ฝ่ายคนฟีลิสเตีย ชุมนุมกำลังทั้งสิ้นอยู่ที่อาเฟก และคนอิสราเอลก็ตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุซึ่งอยู่ในเมืองอิสราเอล 2 เมื่อเจ้านายฟีลิสเตียเดินผ่านไปตามกองร้อยและกองพัน และดาวิดกับคนของท่านก็ผ่านไปเป็นกองหลังกับอาคีช 3 แม่ทัพของคนฟีลิสเตียกล่าวว่า ¡°พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่¡± และอาคีชก็รับสั่งแก่แม่ทัพคนฟีลิสเตียว่า ¡°นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ เขาอยู่กับเรามาเป็นวันเป็นปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย¡± 4 แต่เจ้านายฟีลิสเตียโกรธท่าน และเจ้านายฟีลิสเตียทูลท่านว่า ¡°ขอส่งชายคนนั้นกลับไป เพื่อให้เขากลับไปยังที่ที่ท่านกำหนดให้เขาอยู่ และอย่าให้เขาลงไปรบพร้อมกับเราเกรงว่าเมื่อเรารบกัน เขาจะเป็นศัตรูของเรา เพราะว่าชายคนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้อย่างไร มิใช่ด้วยศีรษะของคนที่นี่ดอกหรือ 5 คนนี้ดาวิดมิใช่หรือ ซึ่งเขาร้องเพลงขับรำรับกันว่า
¡®ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ¡¯ ¡±

b. ทหารฟีลิสเตียไม่เลือกดาวิดเข้าร่วมสงคราม 6-11
6 อาคีชจึงเรียกดาวิดเข้ามารับสั่งแก่ท่านว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านได้ปฏิบัติตนเป็นคนซื่อสัตย์มาแล้ว สำหรับเรา เราก็เห็นชอบที่ท่านออกทัพไปกับเรา เพราะเราไม่เห็นมีความผิดอันใดในท่านตั้งแต่วันที่ท่านมาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามบรรดาเจ้านายไม่เห็นพ้องในเรื่องท่าน 7 ฉะนั้นขอท่านกลับไปเสียจงไปอย่างสันติเถิด เพื่อไม่ให้เป็นที่ขัดใจเจ้านายฟีลิสเตียทั้งหลาย¡± 8 และดาวิดก็ทูลอาคีชว่า ¡°แต่ข้าพระบาทได้กระทำสิ่งใด หรือฝ่าพระบาทได้พบสิ่งใดในตัวของข้าพระบาท ตั้งแต่วันที่ข้าพระบาทเข้ามารับราชการจนบัดนี้ว่า ข้าพระบาทไม่ควรจะไปรบกับศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท¡± 9 อาคีชก็รับสั่งตอบดาวิดว่า ¡°เราทราบแล้วว่าในสายตาของเราท่านดีแล้วอย่างทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่บรรดาแม่ทัพแห่งฟีลิสเตียกล่าวว่า ¡®อย่าให้เขาขึ้นไปในการรบกับเราเลย¡¯ 10 เมื่อเป็นอย่างนี้ ขอท่านลุกขึ้นแต่เช้าพร้อมกับพวกพลแห่งนายของท่านคือคนที่มากับท่าน เมื่อพวกท่านลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด พอมีแสงก็จงออกเดิน¡± 11 ดาวิดจึงลุกขึ้นตั้งแต่มืด คือตัวท่านพร้อมกับคนของท่านเพื่อออกเดินในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียขึ้นไปยังยิสเรเอล


3. ดาวิดโจมตีอามาเลข 30:
a. อามาเลขโจมตีฟีลิสเตีย 1-6
1 อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงเมืองศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับปล้นศิกลากแล้ว เขาชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ 2 และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลยแต่กวาดต้อนไปตามทางของเขา 3 เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมือง ก็เห็นว่าเมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของเขาก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย 4 แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก 5 อาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วย 6 และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่าจะขว้างท่านเสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรหญิงของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน

b. ดาวิดโจมตีอามาเลข 7-31
7 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า ¡°ขอนำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า¡± อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด 8 และดาวิดทูลถามพระเจ้าว่า ¡°สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะขับทันเขาหรือ¡± พระองค์ตอบท่านว่า ¡°จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทันเขาแน่ และจะช่วยได้แน่¡± 9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ที่นั่น 10 แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่
11 เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม 12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว 13 และดาวิดถามเขาว่า ¡°เจ้าเป็นคนพวกไหน และเจ้ามาจากไหน¡± เขาตอบว่า ¡°ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วข้าพเจ้าป่วยนายข้าพเจ้าจึงทิ้งข้าพเจ้าไว้ 14 เรามาปล้นที่ถิ่นใต้ของคนเคเรธี และปล้นที่ส่วนของยูดาห์ และที่ถิ่นใต้ของคาเลบ และเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ¡± 15 ดาวิดถามเขาว่า ¡°เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่¡± เขาตอบว่า ¡°ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น¡±
16 เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าวของมากมายมาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ 17 และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป 18 ดาวิดได้สิ่งของต่างๆ ที่คนอามาเลขริบคืนมาทั้งหมด และดาวิดช่วยภรรยาทั้งสองของท่านมาได้ 19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรหญิง ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด 20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะ แกะ ฝูงโค และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้า ท่านกล่าวว่า ¡°นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา¡±
21 แล้วดาวิดกลับมายังคนสองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิดและต้อนรับประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขาทั้งหลาย 22 คนอธรรมและคนถ่อยทั้งสิ้นในพวกพลที่ติดตามดาวิดไปจึงกล่าวว่า ¡°เพราะเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรากู้มาได้แก่เขาเลย นอกจากให้ต่างคนมาพาภรรยาและบุตรของเขาไปก็แล้วกัน¡± 23 แต่ดาวิดกล่าวว่า ¡°พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับเราไว้ในมือของเรา 24 ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน เพราะคนที่ลงไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระอยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้งหลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน¡± 25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่อิสราเอลจนทุกวันนี้
26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า ¡°นี่เป็นของขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเจ้า¡± 27 คือแก่คนที่อยู่ในเบธเอลในราโมทที่เนเกบ ในยัททีร 28 ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา 29 ในราคาล ในหัวเมืองของคนเยราเมเอล ในหัวเมืองของคนเคไนต์ 30 ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ในอาธาค 31 ในเฮโบรน คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่านได้เคยไปๆ มาๆ


4. ชีวิตสุดท้ายของซาอูล 31:
a. ชีวิตสุดท้ายของซาอูล 1-6
1 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ต่อสู้กับคนอิสราเอล และคนอิสราเอลก็หนีคนฟีลิสเตีย ล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา 2 และคนฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวาราชโอรสของซาอูลเสีย 3 การรบหนักก็ประชิดซาอูลเข้าไป นักธนูมาพบพระองค์เข้า พระองค์ก็บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของนักธนู 4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า ¡°จงชักดาบออกแทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาแทงเราทะลุ เป็นการลบหลู่เรา¡± แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออกทรงล้มทับดาบนั้น 5 และเมื่อผู้ถืออาวุธเห็นว่า ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาเองตายด้วย 6 ดังนั้น ซาอูลก็สิ้นพระชนม์ ราชโอรสทั้งสาม และผู้ถืออาวุธของพระองค์ก็สิ้นชีวิต ตลอดจนคนของพระองค์ทั้งสิ้นก็ตายเสียในวันเดียวกัน

b. การฝังศพของซาอูล 7-13
7 เมื่อคนอิสราเอลซึ่งอยู่ฟากภูเขาข้างโน้น และผู้ที่อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนเห็นคนอิสราเอลหนีไป และเห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์สิ้นชีพแล้ว เขาก็ทิ้งบ้านเมืองของเขาเสียหลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็เข้ามาอาศัยอยู่ในนั้น
8 อยู่มาในวันรุ่งขึ้น เมื่อคนฟีลิสเตียมาปลดเสื้อผ้าจากคนที่ถูกฆ่า ก็พบพระศพซาอูล และราชโอรสทั้งสามอยู่บนภูเขากิลโบอา 9 เขาจึงตัดพระเศียรของซาอูล และถอดเครื่องอาวุธของพระองค์ออก ส่งผู้สื่อสารออกไปทั่วแผ่นดินฟีลิสเตีย นำเอาข่าวดีไปยังเรือนรูปเคารพ และยังประชาชนของเขา 10 เขาเอาเครื่องอาวุธของพระองค์บรรจุไว้ในวัดของพระอัชทาโรท และมัดพระศพของพระองค์ไว้กับกำแพงเมืองเบธชาน 11 แต่เมื่อชาวยาเบชกิเลอาดได้ยินว่าคนฟีลิสเตียกระทำอย่างนั้นกับซาอูล 12 ชายที่กล้าหาญทุกคนก็ลุกขึ้นเดินคืนยังรุ่ง ไปปลดพระศพของซาอูล และศพราชโอรสทั้งสามลงเสียจากกำแพงเมืองเบธชาน และมาที่เมืองยาเบช ถวายพระเพลิงเสียที่นั่น 13 เขาก็เก็บอัฐิไปฝังไว้ที่ใต้ต้นสนหมอกในยาเบช และอดอาหารเจ็ดวัน















OMMENTARY OF CHAPTER & VERSES II SAMUEL

I การก่อตั้งอาณาจักรดาวิดให้มั่นคง 1:-7:
A. เพลงคร่ำครวญของดาวิดเพื่อซาอูล 1:
1. การเอาชนะอามาเลขของดาวิด 1-16

2. เพลงคร่ำครวญของดาวิดเพื่อซาอูล 17-27

B. การแต่งตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ 2:
1. การขึ้นครองราชย์ของดาวิดในเมืองเฮโบรน 1-7

2. การขึ้นครองราชย์ของอิซโบเซทเป็นกษัตริย์อิสราเอล 8-11

3. สงครามระหว่างยูดาห์กับอิสราเอล 12-32

C. การล้มเหลวของของราชวงศ์ซาอูล 3:-4:
1. ความเข้มแข็งของอาณาจักรดาวิด 3:1-5
2. เผด็จการของอับเนอร์ 6-21
3. การตายของอับเนอร์ 22-39
4. การตายของอิซโบเซท 4:

D. การขึ้นครองราชย์อิสราเอลของดาวิด 5:
1. การขึ้นครองราชย์อิสราเอลของดาวิด 1-5
2. การตั้งเมืองหลวงที่เยรูซาเล็ม 6-16
3. สงครามกับฟิลิสเตีย 17-25

E. การโยกย้ายของหีบพันธสัญญา 6:
1. การตายของอุสซาห์ 1-11
2. การเข้าสู่เมืองดาวิดของหีบพันธสัญญา 12-23

F. พระเจ้าทรงพันธสัญญากับดาวิด 7:
1. พันธสัญญากับดาวิด 1-17
2. คำอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าของดาวิด 18-29


II ความรุ่งเรืองของอาณาจักรดาวิด 8:-10:
A. การขยายแผ่นดินอิสราเอล 8:
1. การปราบปรามฟีลิสเตีย, โมอับ, ซีเรีย 1-8

2. การอวยพรดาวิดของฮาดัด 9-12

3. การปราบปรามเอโดม 13-14

4. การปกครองดีของดาวิด 15-18


B. การสนับสนุนเชื้อสายซาอูล 9:

B. การสงครามกับอัมโมน 10:
1. การเหยียดยามของฮานูนต่อผู้แทนดาวิด 1-5
2. การปราบปรามอัมโมน 6-19


III การทำบาปของดาวิด และ ผลการทำบาป 11:-20:
A. การทำบาปของดาวิด 11:
1. ดาวิด และ บัทเซบา 1-5
2. ดาวิดและ อุรียาห์ 6-27

B. ความตายของลูกของบัทเซบา 12:
1. การกล่าวโทษดาวิดของนาธัน 1-15a

2. ความตายของลูกบัทเซบา 15b-23

3. การเกิดซาโลมอน 24-25

4. การถูกปราบคนอัมโมน 26-31

C. อัมโนนและทามาร 13:
1. อัมโนนข่มขึ้นทามาร 1-19
2. อับซาโลมฆ่าอัมโนน 20-39

D. อับซาโนมกบฎดาวิด 14:-18:
1. อับซาโลมกลับเยรูซาเล็ม 14:
a. อุบายของโยอาบ 1-20


b. การกลับของอับซาโลม 21-33

2. อับซาโลมกบฎดาวิด 15:1-12

3. การหนีภัยของดาวิด 15:13-16:14
a. การออกจากเยรูซาเล็มของดาวิด 15:13-23

b. การวางหีบพันธสัญญาที่เยรูซาเล็ม 24-37

c. การต้อนรับศิบา และ การแช่งของเศรุยาห์ 16:1-14


4. กลยุทธของอับซาโลม 16:15-17:29
a. การเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มของอับซาโลม 16:15-23

b. เล่ห์กระเท่ห์ของอาหิโธเฟลหุซัย 17:1-23

c. ถึงมาหะนาอิมของดาวิด 17:24-29

5. การถูกฆ่าตายของอับซาโลม 18:
a. การถูกฆ่าตายของอับซาโลม 1-18

b. ผู้ส่งข่าวในการเอาชนะอับซาโลม 19-33


E. การกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 19:-20:
1. การกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 19:
a. การเสนอกับดาวิดของโยอับ 1-8

b. การปรึกษาเกี่ยวกับการกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 9-15

c. ผู้ที่ต้อนรับดาวิด 16-39

d. ความไม่ปรองดองกันระหว่างอิสราเอลและยูดาห์ 40-43


2. ความสงบสุขของประเทศอิสราเอล 20:
a. กบฏของเศบา และ การกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 1-3
b. ความตายของอามาสา 4-13

IV เล่าเรื่องทั่วไปของดาวิด 21:-24:
A. การกันดารอาหาร 3 ปี 21:
1. การกันดารอาหาร 3 ปี 1-6

2. การมอบเชื้อสายของซาอูล 7-14
3. ทหารกล้าหาญของดาวิด 15-22


B. เพลงแห่งดาวิด 22:
1. เพลงแทนคำนำ 1-4
2. ความรอดจากมีความทุกข์ทรมาน 5-20
3. การตอบแทนของพระเจ้ายุติธรรม 21-31
4. ความรอดอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น 32-46
C. ทหารกล้าหาญของดาวิด 23:
1. เพลงสุดท้ายของดาวิด 1-7
2. ทหารกล้าหาญ 3 คน ของ ดาวิด 8-17
3. อาบีซัย และ เบไนยาห์ 18-23
4. ทหารกล้าหาญ 30 คน ของดาวิด 24-39


D. การนับประชากรอิสราเอล และ ยูดาห์ของดาวิด 24:
1. การนับประชากรอิสราเอล และ ยูดาห์ของดาวิด 1-9
2. การกลับใจเสียใหม่ของดาวิด 10-17
3. การสร้างแทนบูชา 18-25


COMMENTARY OF CHAPTER & VERSES
การแยกออกเป็นส่วนๆ II SAMUEL

I การก่อตั้งอาณาจักรดาวิดให้มั่นคง 1:-7:
A. เพลงคร่ำครวญของดาวิดเพื่อซาอูล 1:
1. การชนะอามาเลขของดาวิด 1-16
1 อยู่มาหลังจากที่ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อดาวิดกลับจากการฆ่าฟันคนอามาเลข ดาวิดพักอยู่ที่ศิกลากได้สองวัน 2 พอถึงวันที่สาม ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาดและมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เมื่อเขามาถึงดาวิด ก็ซบหน้าลงถึงดินกระทำความเคารพ 3 ดาวิดถามเขาว่า ¡°เจ้ามาจากไหน¡± เขาตอบท่านว่า ¡°ข้าพเจ้ารอดมาจากค่ายอิสราเอล¡± 4 ดาวิดถามเขาว่า ¡°ขอบอกฉันหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่างไรบ้าง¡± และเขาตอบว่า ¡°ประชาชนหนีจากการรบไปแล้ว มีคนล้มและถึงความตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย¡± 5 ดาวิดจึงถามชายที่มาบอกนั้นว่า ¡°เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของท่านสิ้นพระชนม์¡± 6 ชายหนุ่มผู้ที่บอกท่านนั้นจึงตอบว่า ¡°บังเอิญข้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา เห็นซาอูลทรงยืนพิงหอกของพระองค์อยู่ และนี่แน่ะรถรบและทหารม้าก็ใกล้พระองค์เข้ามา 7 เมื่อพระองค์ทรงเหลียวมาแลเห็นข้าพเจ้าพระองค์ตรัสเรียกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทูลตอบว่า ¡®ข้าพระบาทอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ¡¯ 8 พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า ¡®เจ้าคือใคร¡¯ ข้าพเจ้าทูลตอบพระองค์ว่า ¡®ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข¡¯ 9 พระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า ¡®จงมายืนข้างเราและฆ่าเราเสีย เราระเหี่ยใจมาก แต่ชีวิตของเรายังอยู่¡¯ 10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า เมื่อพระองค์ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่งอยู่บนพระเศียรและกำไลซึ่งอยู่ที่พระกรและข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่ เพื่อมอบแด่เจ้านายของข้าพเจ้า¡±
11 แล้วดาวิดฉีกเสื้อของท่าน และคนที่อยู่กับท่านก็กระทำเช่นเดียวกัน 12 และเขาทั้งหลายไว้ทุกข์และร้องไห้และอดอาหารอยู่จนเวลาเย็น ให้ซาอูลและโยนาธานราชโอรส และประชากรของพระเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะเขาทั้งหลายต้องล้มตายด้วยดาบ 13 และดาวิดถามคนหนุ่มที่บอกท่านว่า ¡°เจ้ามาจากไหน¡± เขาตอบว่า ¡°ข้าพเจ้าเป็นบุตรของคนต่างด้าว ผู้เป็นคนอามาเลข¡± 14 ดาวิดถามเขาว่า ¡°ทำไมเจ้ามิได้เกรงกลัวในการที่ยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้¡± 15 แล้วดาวิดก็เรียกคนหนึ่งในหมู่ชายหนุ่มเข้ามาบอกว่า ¡°ไปซิฆ่าเขาเสีย¡± และเขาก็ฆ่าชายคนนั้นตาย 16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า ¡°ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้าเองก็รับผิดชอบ เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า ¡®ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้¡¯ ¡±


2. เพลงคร่ำครวญของดาวิดเพื่อซาอูล 17-27
17 ดาวิดก็ครวญคร่ำตามคำคร่ำครวญต่อไปนี้ เพื่อซาอูลและโยนาธานราชโอรส 18 และท่านกล่าวว่า ควรจะสอนคำคร่ำครวญนี้แก่คนยูดาห์ ดูเถิด คำคร่ำครวญนั้นบันทึกไว้ในหนังสือยาชารว่า
19 ¡°โอ อิสราเอลเอ๋ย ศักดิ์ศรีของท่านถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน
วีรบุรุษก็ล้มตายเสียแล้วหนอ
20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท
อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองเอชเคโลน
เกรงว่าบุตรีคนฟีลิสเตียจะร่าเริง
เกรงว่าบุตรีของผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตจะลิงโลด
21 ¡°เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย
ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้า
หรือทุ่งนาที่ให้ของถวาย
เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษมลทินแล้ว
โล่ของซาอูลซึ่งมิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน
22 ¡°คันธนูของโยนาธานมิได้หันกลับมา
จากโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่า
จากไขมันของผู้ที่มีกำลัง
และดาบของซาอูลก็มิได้กลับมาเปล่า
23 ¡°ซาอูลและโยนาธานเอ๋ย ผู้เป็นที่รักและน่ารัก
จะอยู่หรือมรณาทั้งสองไม่แยกจากกัน
ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี
ทั้งสองแข็งแรงกว่าสิงห์
24 ¡°บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล
ผู้ทรงประดับเจ้าอย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม
และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำเหนือเครื่องแต่งกายของเจ้า
25 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ
ท่ามกลางศึกสงคราม
¡°โยนาธานก็ถูกสังหารอยู่บนที่สูงของอิสราเอล
26 โอ พี่โยนาธาน ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน
ท่านเป็นที่ชื่นใจของข้าพเจ้ามาก
ความรักของท่านที่มีต่อข้าพเจ้านั้นประหลาดเหลือยิ่งกว่าความรักของสตรี
27 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ
และเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป¡±


B. การแต่งตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ 2:
1. การขึ้นครอบราชย์ของดาวิดในเมืองเฮโบรน 1-7
1 ครั้นเรื่องนี้สิ้นไปแล้ว ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า ¡°สมควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปยังหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดในยูดาห์หรือไม่¡± และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า ¡°จงขึ้นไปเถิด¡± ดาวิดทูลว่า ¡°ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปที่ใด¡± พระองค์ตรัสว่า ¡°เมืองเฮโบรน¡± 2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั้นพร้อมกับภรรยาทั้งสองของท่านด้วยคือ อาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล 3 และดาวิดก็นำคนที่อยู่กับท่านขึ้นไปทุกคนพาครอบครัวไปด้วย และเขาทั้งหลายก็อยู่ในหัวเมืองของเฮโบรน 4 และคนยูดาห์ก็พากันมาเจิมตั้งดาวิดไว้เป็นพระราชาเหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์
เมื่อมีคนมาทูลดาวิดว่า ¡°ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นผู้ที่ฝังพระศพซาอูลไว้¡± 5 ดาวิดก็มีรับสั่งให้ผู้สื่อสารไปหาชาวยาเบชกิเลอาดนั้น พูดกับเขาว่า ¡°ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย ในการที่ท่านทั้งหลายได้สำแดงความจงรักภักดีอย่างนี้ต่อซาอูลเจ้านายของท่าน และได้ฝังพระศพพระองค์ไว้ 6 บัดนี้ขอพระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงและความเที่ยงธรรมแก่ท่าน และข้าพเจ้าจะกระทำความดีต่อท่านทั้งหลายเพราะท่านได้กระทำการนี้ 7 เพราะฉะนั้น ขอให้มือของท่านทั้งหลายเข้มแข็ง และขอให้ท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของท่านสิ้นพระชนม์เสียแล้ว และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้เจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือเขาทั้งหลาย¡±

2. การขึ้นครอบราชย์ของอิซโบเซทเป็นกษัตริย์อิสราเอล 8-11
8 ฝ่ายอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม 9 และได้สถาปนาท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือเมืองกิเลอาดและคนอาชูร์ และคนยิสเรเอล และคนเอฟราอิม และคนเบนยามิน และคนอิสราเอลทั้งหมด 10 เมื่ออิชโบเชทราชบุตรของซาอูลเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลนั้น มีพระชนมายุสี่สิบปี ทรงครอบครองอยู่สองปี แต่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ก็ติดตามดาวิด 11 เวลาที่ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ในเฮโบรนนั้นเป็นจำนวนเจ็ดปีกับหกเดือน

3. สงครามระหว่างยูดาห์กับอิสราเอล 12-32
12 อับเนอร์บุตรเนอร์ และพวกข้าราชการทหารของอิชโบเชทราชบุตรของซาอูลได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน 13 และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์กับพวกข้าราชการทหารของดาวิด ก็ออกไปพบกับเขาที่สระเมืองกิเบโอนและเขาทั้งหลายก็นั่งอยู่ที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ที่ขอบสระข้างนี้อีกพวกหนึ่งข้างโน้น 14 อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า ¡°ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นรบเล่นกันให้เราดูเถิด¡± และโยอาบตอบว่า ¡°ให้เขาลุกขึ้นเล่นซี¡± 15 เขาก็ลุกขึ้นไปตามที่นับไว้ ฝ่ายเบนยามินและฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลมีสิบสองคน และข้าราชการทหารของดาวิดก็มีสิบสองคน 16 ต่างก็จับศีรษะคู่ต่อสู้ และปักดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ล้มตายด้วยกันหมด เขาจึงเรียกที่นั่นว่าเฮลขัทฮัสซูริมซึ่งอยู่ในกิเบโอน 17 การสู้รบในวันนั้นดุเดือดยิ่งนัก อับเนอร์และพวกคนอิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อข้าราชการทหารของดาวิด
18 บุตรทั้งสามของนางเศรุยาห์ก็อยู่ที่นั่นคือ โยอาบ อาบีชัย และอาสาเฮล ฝ่ายอาสาเฮลนั้นฝีเท้าเร็วอย่างกับละมั่ง 19 และอาสาเฮลก็ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อตามไปนั้นก็มิได้เลี้ยวทางขวามือ หรือทางซ้ายมือจากการไล่ตามอับเนอร์ 20 อับเนอร์เหลียวมาดูจึงพูดว่า ¡°นั่นอาสาเฮลหรือ¡± เขาตอบว่า ¡°ข้าเอง¡± 21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า ¡°จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาของของเขาไป¡± แต่อาสาเฮลไม่เลี้ยวจากไล่ตามอับเนอร์ 22 อับเนอร์จึงบอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า ¡°จงหันกลับจากตามข้าเสียเถิด จะให้ข้าฟาดเจ้าให้ล้มลงดินทำไมเล่า แล้วข้าจะเงยหน้าขึ้นดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร¡± 23 แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมหันกลับ เพราะฉะนั้น อับเนอร์ก็เอาโคนหอกแทงท้องอาสาเฮล หอกก็ทะลุออกข้างหลังของเขา เขาก็ล้มลงตายอยู่ที่นั่น และทุกคนซึ่งมาเห็นที่ที่อาสาเฮลล้มตายอยู่ก็ยืนนิ่ง
24 แต่โยอาบกับอาบีชัยไล่ตามอับเนอร์ไป ดวงอาทิตย์ก็ตกเมื่อเขามาถึงเนินเขาอัมมาห์ ซึ่งอยู่ตรงกียาห์ตามทางที่จะไปถิ่นทุรกันดารเมืองกิเบโอน 25 และคนเบนยามินก็รวมกันตามอับเนอร์ไปเป็นกลุ่มเดียวกันตั้งอยู่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง 26 แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบว่า ¡°จะให้ดาบกินเรื่อยไปหรือ ท่านไม่ทราบหรือว่าตอนปลายมือก็ขม อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งคนของท่านให้หยุดไล่ตามพี่น้องของเขา¡± 27 และโยอาบจึงกล่าวว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้นพวกทหารก็จะเลิกไล่ตามพวกพี่น้องของเขาพรุ่งนี้เช้า¡± 28 โยอาบจึงเป่าเขาสัตว์ขึ้น คนทั้งปวงก็หยุดไม่ไล่ตามอิสราเอลอีก และไม่สู้รบกันอีก
29 อับเนอร์กับคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในอาราบาห์ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดน และเดินไปตามหุบเขาบิทโรน เขาก็มาถึงมาหะนาอิม 30 โยอาบก็กลับจากไล่ตามอับเนอร์ และเมื่อท่านรวบรวมพลเข้าด้วยกันแล้ว ข้าราชการทหารของดาวิดก็ขาดไปสิบเก้าคนไม่นับอาสาเฮล 31 แต่ข้าราชการทหารของดาวิดได้ฆ่าคนเบนยามินและคนของอับเนอร์ตายไปสามร้อยหกสิบคน 32 และเขาก็ยกศพอาสาเฮลไปฝังไว้ในอุโมงค์บิดาของเขา ซึ่งอยู่ที่เมืองเบธเลเฮม โยอาบและคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนไปสว่างที่เมืองเฮโบรน



C. การล้มเหลวของของราชวงศ์ซาอูล 3:-4:
1. การเมแข็งอาณาจักรดาวิด 3:1-5
1 มีสงครามระหว่างพงศ์พันธุ์ของซาอูลกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดอยู่นาน และดาวิดก็เข้มแข็งยิ่งขึ้น ฝ่ายพงศ์พันธุ์ของซาอูลก็เสื่อมกำลังลงทุกที
โอรสของดาวิดผู้เกิดที่เมืองเฮโบรน
2 ดาวิดทรงมีราชโอรสเกิดหลายองค์ที่เมืองเฮโบรน ราชโอรสหัวปีชื่ออัมโนน บุตรนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล 3 คนที่สองชื่อคิเลอาบ บุตรนางอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล และคนที่สามชื่ออับซาโลม บุตรนางมาอาคาห์ราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์เมืองเกชูร์ 4 คนที่สี่ชื่ออาโดนียาห์ บุตรนางฮักกีท คนที่ห้าชื่อเชฟาทิยาห์ บุตรนางอาบีตัล 5 และคนที่หกชื่ออิทเรอัม บุตรนางเอกลาห์ภรรยาของดาวิด ราชโอรสเหล่านี้เกิดแก่ดาวิดที่เมืองเฮโบรน

2. เผด็จการของอับเนอร์ 6-21
6 อยู่มาเมื่อมีการต่อสู้ระหว่างพงศ์พันธุ์ของซาอูลกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดนั้น อับเนอร์ได้กระทำตัวให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในพงศ์พันธุ์ของซาอูล 7 ฝ่ายซาอูลนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ และอิชโบเชทจึงตรัสกับอับเนอร์ว่า ¡°เหตุใดท่านจึงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของเรา¡± 8 ฝ่ายอับเนอร์ก็โกรธอิชโบเชทเพราะถ้อยคำนี้มาก จึงทูลว่า ¡°ข้าพระบาทเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ ทุกวันนี้ข้าพระบาทได้สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ของซาอูลเสด็จพ่อของพระองค์ และต่อพี่น้องและต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อท่าน มิได้มอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของดาวิด วันนี้พระองค์ยังหาความต่อข้าพระบาทด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้ 9 ถ้าข้าพระบาทจะมิได้กระทำเพื่อดาวิดให้สำเร็จดังที่พระเจ้าทรงปฏิญาณไว้ต่อท่านแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษอับเนอร์และยิ่งหนักกว่า 10 คือข้าพระบาทจะย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอลและเหนือยูดาห์ ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา¡± 11 และอิชโบเชทก็หาทรงสามารถตอบอับเนอร์สักคำเดียวไม่ เพราะพระองค์ทรงกลัวเกรงอับเนอร์
12 อับเนอร์ก็ส่งผู้สื่อสารแทนตนไปยังดาวิดที่เฮโบรนทูลว่า ¡°แผ่นดินนี้เป็นของผู้ใด¡± และทูลอีกว่า ¡°ขอทรงทำพันธสัญญากับข้าพระบาท และดูเถิด มือของข้าพระบาทจะอยู่ฝ่ายพระองค์และนำอิสราเอลทั้งสิ้นมามอบแด่พระองค์¡± 13 ดาวิดตรัสว่า ¡°ดีแล้ว เราจะกระทำพันธสัญญากับท่าน แต่เราขอจากท่านสักอย่างหนึ่งคือว่า เมื่อท่านจะมาเห็นหน้าเราอีกขอท่านนำมีคาลบุตรีของซาอูลมาให้เราก่อน มิฉะนั้นท่านจะมิได้เห็นหน้าเรา¡± 14 แล้วดาวิดก็ส่งผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลว่า ¡°ขอมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้หมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น¡± 15 อิชโบเชทจึงทรงให้คนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช 16 แต่สามีของเธอก็เดินพลางร้องไห้พลางไปกับเธอจนถึงตำบลบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า ¡°กลับไปเสียเถิด¡± และเขาก็กลับไป
17 อับเนอร์จึงปรึกษากับพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า ¡°เมื่อก่อนนี้ท่านทั้งหลายใคร่ให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือท่าน 18 บัดนี้จงให้เป็นจริงเถิด เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับดาวิดว่า ¡®เราจะช่วยอิสราเอลประชากรของเราด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา ให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย และให้พ้นจากมือศัตรูทั้งสิ้นของเขา¡¯ ¡± 19 อับเนอร์ก็พูดกับคนเบนยามินด้วยและอับเนอร์ก็ไปทูลดาวิด ที่เมืองเฮโบรนถึงบรรดาสิ่งต่างๆ ที่อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของเบนยามินเห็นสมควรที่จะกระทำ
20 อับเนอร์จึงมาเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรนพร้อมกับคนอีกยี่สิบคน ดาวิดทรงจัดการเลี้ยงอับเนอร์กับคนที่อยู่กับท่าน 21 และอับเนอร์ทูลดาวิดว่า ¡°ข้าพระบาทจะลุกขึ้นกลับไป และจะรวบรวมคนอิสราเอลทั้งสิ้นมายังพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพื่อเขาทั้งหลายจะกระทำพันธสัญญากับฝ่าพระบาท และเพื่อฝ่าพระบาทจะทรงปกครองให้กว้างขวางตามชอบพระทัยของฝ่าพระบาท¡± ดาวิดก็ทรงส่งอับเนอร์กลับไป และเขาก็ไปโดยสวัสดิภาพ


3. การตายของอับเนอร์ 22-39
22 ขณะนั้นข้าราชการทหารของดาวิดกับโยอาบกลับมาจากการไปปล้น และนำสิ่งของที่ริบได้มากมายนั้นมาด้วย แต่อับเนอร์มิได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว เพราะพระองค์ทรงส่งท่านกลับไป และท่านก็ไปโดยสวัสดิภาพ 23 เมื่อโยอาบกับกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับท่านมาถึงก็มีคนบอกโยอาบว่า ¡°อับเนอร์บุตรเนอร์มาเฝ้าพระราชา และพระองค์ทรงให้เขากลับไป เขาก็กลับไปโดยสวัสดิภาพ¡± 24 แล้วโยอาบเข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า ¡°ฝ่าพระบาททรงกระทำอะไรเช่นนั้น ดูเถิด อับเนอร์มาเฝ้าฝ่าพระบาท ไฉนฝ่าพระบาทจึงปล่อยเขาไปเขาก็หลุดมือไปแล้ว 25 ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าอับเนอร์บุตรเนอร์มาเพื่อล่อลวงฝ่าพระบาท และเพื่อทราบถึงการเสด็จเข้าออกของฝ่าพระบาท และเพื่อทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝ่าพระบาททรงกระทำ¡±
26 เมื่อโยอาบออกมาจากการเข้าเฝ้าดาวิด จึงส่งผู้สื่อสารไปตามอับเนอร์ เขาทั้งหลายก็นำท่านกลับมาจากที่ขังน้ำชื่อสีราห์ แต่ดาวิดหาทรงทราบเรื่องไม่ 27 และเมื่ออับเนอร์กลับมาถึงเฮโบรนแล้ว โยอาบก็พาท่านหลบเข้าไปที่กลางประตูเมืองเพื่อจะพูดกับท่านเป็นการลับ และโยอาบแทงท้องของท่านเสียที่นั่น ท่านก็สิ้นชีวิต โยอาบแก้แค้นโลหิตของอาสาเฮลน้องชายของตน 28 ภายหลังเมื่อดาวิดทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า ¡°ตัวเราและราชอาณาจักรของเรา ปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรเนอร์ 29 ขอให้โทษนั้นตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือพงศ์พันธุ์บิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คนที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากพงศ์พันธุ์ของโยอาบ¡± 30 นี่แหละโยอาบกับอาบีชัยน้องชายของเขาได้ฆ่าอับเนอร์ เพราะอับเนอร์ได้ฆ่าอาสาเฮลน้องชายของเขาเมื่อรบกันที่กิเบโอน
31 แล้วดาวิดก็ตรัสกับโยอาบ และประชาชนทุกคนที่อยู่กับพระองค์ว่า ¡°จงฉีกเสื้อผ้าของท่านทั้งหลาย และเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้และจงไว้ทุกข์ให้อับเนอร์¡± และพระราชาดาวิดเสด็จตามศพอับเนอร์ไป 32 เขาก็ฝังศพอับเนอร์ไว้ที่เฮโบรน และพระราชาก็ส่งพระสุรเสียงกันแสง ณ ที่ฝังศพของอับเนอร์ และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ 33 และพระราชาทรงคร่ำครวญด้วยเรื่องอับเนอร์ว่า
¡°ควรหรือที่อับเนอร์จะตายอย่างคนโง่ตาย
34 มือของท่านก็มิได้ถูกมัด
เท้าของท่านก็มิได้ติดตรวน
ท่านได้ล้มลง
เหมือนอย่างคนล้มลงต่อหน้าคนชั่วร้าย
และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ถึงอับเนอร์อีก 35 แล้วประชาชนทั้งปวงก็มาทูลชวนเชิญให้ดาวิดเสวยพระกระยาหารเมื่อเวลายังวันอยู่ แต่ดาวิดทรงปฏิญาณว่า ¡°ถ้าเราลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งใดๆ ก่อนดวงอาทิตย์ตก ขอพระเจ้าทรงทำโทษเราและยิ่งหนักกว่า¡± 36 ประชาชนทั้งปวงสังเกตเห็นเช่นนั้นก็พอใจ ดังที่ประชาชนพอใจทุกสิ่งที่พระราชาทรงกระทำ 37 ประชาชนทั้งสิ้นและชนอิสราเอลทั้งปวงจึงเข้าใจในวันนั้นว่า ไม่เป็นพระประสงค์ของพระราชาที่จะให้ฆ่าอับเนอร์บุตรเนอร์เสีย 38 พระราชาตรัสกับข้าราชการของพระองค์ว่า ¡°ท่านไม่ทราบหรือว่า วันนี้เจ้านายและคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งสิ้นชีวิตในอิสราเอล 39 แม้เราได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์แล้ว เราก็อ่อนกำลังในวันนี้ ชายเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรของนางเศรุยาห์หนักแก่เราเกินไป ขอพระเจ้าทรงสนองผู้กระทำผิดตามความผิดของเขาเถิด¡±

4. การตายของอิซโบเซท 4:
1 เมื่ออิชโบเชทราชโอรสของซาอูลได้ทรงทราบข่าวว่าอับเนอร์สิ้นชีวิตเสียที่เฮโบรนแล้ว พระหัตถ์ของพระองค์ก็อ่อนลง และอิสราเอลทั้งปวงก็ท้อใจ 2 ฝ่ายราชบุตรของซาอูลยังมีชายอีกสองคนเป็นหัวหน้าของกองปล้น คนหนึ่งชื่อบาอานาห์ อีกคนหนึ่งชื่อเรคาบบุตรของริมโมน คนเบนยามินชาวเมืองเบเอโรท (เพราะว่า เบเอโรทก็นับเข้าเป็นของเบนยามินด้วย 3 ชาวเบเอโรทหนีไปยังเมืองกิททาอิม และอาศัยอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้)
4 โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นง่อย เมื่อมีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอลนั้น เด็กคนนี้มีอายุห้าขวบพี่เลี้ยงก็อุ้มลุกขึ้นหนีไป เมื่อเธอรีบหนีไปนั้นเด็กนั้นก็หล่นลง และเป็นง่อย ท่านชื่อเมฟีโบเชท
5 ฝ่ายบุตรทั้งสองของริมโมนชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์นั้นได้ออกเดินทาง พอแดดออกจัดก็มาถึงตำหนักของอิชโบเชท ขณะเมื่อพระองค์กำลังบรรทมพักเที่ยง 6 และเขาเข้าไปกลางตำหนักทำเหมือนจะขนข้าวสาลีและเขาก็แทงพระองค์ เรคาบและบาอานาห์พี่ก็หนีไป 7 และเมื่อเขาทั้งสองเข้าไปในตำหนักนั้น พระองค์บรรทมหลับอยู่บนพระที่ เขาก็ทุบตีพระองค์และประหารพระองค์ และตัดพระเศียรของพระองค์เสีย นำพระเศียรนั้นเดินทางไปทางอาราบาห์ทั้งกลางคืน 8 และเขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปถวายดาวิดที่เมืองเฮโบรน เขาทั้งสองกราบทูลพระราชาว่า ¡°นี่ศีรษะของอิชโบเชทบุตรของซาอูลศัตรูของฝ่าพระบาท ผู้แสวงหาชีวิตของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงแก้แค้นแทนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทในวันนี้เหนือซาอูลและพืชพันธุ์ของซาอูล¡± 9 แต่ดาวิดตรัสตอบเรคาบและบาอานาห์พี่ชายบุตรของริมโมนชาวเบเอโรทว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากบรรดาความทุกข์ยาก 10 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดบอกเราว่า ¡®ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว¡¯ และคิดว่าตนนำข่าวดีมา เราก็จับคนนั้นฆ่าเสียที่ศิกลาก ซึ่งเป็นรางวัลที่เราให้แก่เขาสำหรับข่าวนั้น 11 ยิ่งกว่านั้นเท่าใดเมื่อคนอธรรมได้ฆ่าคนชอบธรรมที่ในบ้านและบนที่นอนของคนชอบธรรมนั้น เราจะไม่ลงโทษเจ้าทั้งสองเพราะความตายของเขาหรือ และทำลายเจ้าเสียจากพิภพ¡± 12 และดาวิดก็ทรงบัญชาคนหนุ่มของพระองค์ และเขาทั้งหลายก็พาเขาทั้งสองไปฆ่าเสีย ตัดมือตัดเท้าออก แขวนศพนั้นไว้ที่ข้างสระที่เมืองเฮโบรน แต่เขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปฝังไว้ ณ ที่ฝังศพของอับเนอร์ในเมืองเฮโบรน

D. การขึ้นครองราชย์อิสราเอลของดาวิด 5:
1. การขึ้นครองราชย์อิสราเอลของดาวิด 1-5
1 และบรรดาเผ่าคนอิสราเอลก็มาหาดาวิดที่เมืองเฮโบรนทูลว่า ¡°ดูเถิด ข้าพระบาททั้งหลายเป็นกระดูกและเนื้อของฝ่าพระบาท 2 ในอดีตเมื่อซาอูลเป็นพระราชาปกครองเหนือเหล่าข้าพระบาท ฝ่าพระบาททรงเป็นผู้นำอิสราเอลออกไปและเข้ามา และพระเจ้าตรัสแก่ฝ่าพระบาทว่า ¡®เจ้าจะเป็นผู้ปกครองอิสราเอล ประชากรของเราอย่างผู้เลี้ยงแกะ และเจ้าจะเป็นเจ้าเหนือคนอิสราเอล¡¯ ¡± 3 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็มาเฝ้าพระราชาที่เมืองเฮโบรน และพระราชาดาวิดทรงกระทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายที่เมืองเฮโบรนต่อพระพักตร์พระเจ้า และเขาทั้งหลายก็เจิมตั้งดาวิดให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล 4 ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อเริ่มการปกครองและพระองค์ทรงปกครองอยู่สี่สิบปี 5 ทรงปกครองเหนือยูดาห์ที่เฮโบรนเจ็ดปีหกเดือน และที่กรุงเยรูซาเล็มทรงปกครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์อีกสามสิบสามปี

2. การตั้งเมืองหลวงที่เยรูซาเล็ม 6-16
6 พระราชาและคนของพระองค์ได้ยกทัพไปยังเยรูซาเล็ม รบกับคนเยบุส ชาวแผ่นดินนั้นผู้ที่กล่าวกับดาวิดว่า ¡°แกยกเข้ามาที่นี่ไม่ได้ดอก คนตาบอดและคนง่อยก็จะป้องกันไว้ได้¡± ด้วยคิดว่า ¡°ดาวิดคงเข้ามาที่นี่ไม่ได้¡± 7 แต่อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งชื่อศิโยนได้คือเมืองของดาวิด 8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า ¡°ผู้ใดจะโจมตีคนเยบุส ก็ให้ผู้นั้นขึ้นไปตามทางน้ำไหลไปสู้คนง่อย และคนตาบอดผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง¡± เพราะฉะนั้นเขาจึงว่ากันว่า ¡°อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ¡± 9 ดาวิดก็ทรงประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่าเมืองของดาวิด และดาวิดทรงสร้างเมืองรอบตั้งแต่มิลโลเข้าไปข้างใน 10 และดาวิดทรงเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะว่าพระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
11 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งผู้สื่อสารมาหาดาวิดและได้ส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้ และพวกช่างก่อมาสร้างพระราชวังของดาวิด 12 และดาวิดทรงทราบว่า พระเจ้าทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงยกย่องราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยเห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
13 ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรน ดาวิดทรงได้นางสนมและมเหสีจากเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และบังเกิดราชโอรสและราชธิดาอีก 14 ต่อไปนี้เป็นชื่อของผู้ที่บังเกิดกับพระองค์ในเยรูซาเล็มคือ ชัมมุอา โชบับ นาธัน ซาโลมอน 15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย 16 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท

3. สงครามกับฟิลิสเตีย 17-25
17 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมเป็นพระราชาเหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบข่าวนั้นจึงลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง 18 ฝ่ายคนฟีลิสเตียยกขึ้นมาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม 19 และดาวิดทรงทูลถามพระเจ้าว่า ¡°ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือไม่¡± และพระเจ้าทรงตอบดาวิดว่า ¡°จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่¡± 20 ดาวิดเสด็จมายังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะคนฟีลิสเตียที่นั่น พระองค์ตรัสว่า ¡°พระเจ้าทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่¡± เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า บาอัลเปราซิม 21 และคนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น ดาวิดกับข้าราชการของพระองค์ก็ขนเอาไปเสีย
22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยายแนวอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าพระองค์ตรัสว่า ¡°เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อมไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นโพธิ์ 24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ยอดหมู่ต้นโพธิ์เจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเจ้าเสด็จไปข้างหน้าเพื่อจะโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย¡± 25 และดาวิดทรงกระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ และได้โจมตีคนฟีลิสเตียจากเกบาถึงเกเซอร์




E. การโยกย้ายของหีบพันธสัญญา 6:
1. การตายของอุสซาห์ 1-11
1 ดาวิดทรงรวบรวมคนอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วอีกครั้งหนึ่งได้สามหมื่นคน 2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่นซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระนามของพระเจ้าจอมโยธาผู้ประทับบนเครูบ 3 และเขาทั้งหลายก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยบุตรของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น 4 และนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา เกวียนบรรจุหีบของพระเจ้าไป และอาหิโยเดินนำหน้าหีบ 5 ดาวิดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลก็ร่าเริงกันอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยเต็มกำลังของเขาทั้งหลายมีการร้องเพลง เล่นพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ
6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะโคสะดุด 7 และพระพิโรธของพระเจ้าก็เกิดขึ้นกับอุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาเสียที่นั่น เพราะเขาเหยียดมือออกจับหีบนั้น และเขาก็สิ้นชีวิตอยู่ข้างหีบของพระเจ้า 8 และดาวิดก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะพระเจ้าทรงทลายออกมาเหนืออุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ จนถึงทุกวันนี้ 9 ในวันนั้นดาวิดก็ทรงกลัวพระเจ้า และพระองค์ตรัสว่า ¡°หีบของพระเจ้าจะมาถึงข้าได้อย่างไร¡± 10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ยอมที่จะนำหีบของพระเจ้าเข้าไปในเมืองของดาวิดให้อยู่กับตน แต่ดาวิดได้ทรงนำไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัท 11 หีบของพระเจ้าก็ค้างอยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทสามเดือน และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่โอเบดเอโดมและครัวเรือนของเขาทั้งสิ้น

2. การเข้าสู่เมืองดาวิดของหีบพันธสัญญา 12-23
12 มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า ¡°พระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า¡± ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากบ้านของโอเบดเอโดมถึงเมืองดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี 13 และเมื่อผู้ที่หามหีบของพระเจ้าเดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง 14 และดาวิดก็ทรงรำถวายแด่พระเจ้าด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดมีเอโฟดผ้าป่านคาดอยู่ที่พระองค์ 15 ดังนั้นแหละดาวิดและพงศ์พันธุ์อิสราเอลด้วยได้นำหีบของพระเจ้าขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์
16 และขณะเมื่อหีบของพระเจ้าเข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายแด่พระเจ้า และนางก็มีใจหมิ่นประมาท 17 เขาทั้งหลายนำหีบของพระเจ้าเข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนดภายในเต็นท์ซึ่งดาวิดได้ทรงสร้างขึ้นไว้ และดาวิดก็ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องศานติบูชาแด่พระเจ้า 18 และเมื่อดาวิดทรงกระทำการถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงถวายอวยพรประชาชนในพระนามของพระเจ้าจอมโยธา 19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า ¡°วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวนะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าสาวใช้ของข้าราชการ อย่างกับคนถ่อยแก้ผ้าด้วยไม่มีความอาย¡± 21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า ¡°เป็นงานที่ถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของพระเจ้า และเราจึงจะร่าเริงต่อพระพักตร์พระเจ้า 22 เราจะถ่อมตัวของเราลงยิ่งกว่านี้อีกให้ปรากฏแก่ตาของเราเองว่าเป็นคนต่ำ แต่โดยพวกสาวใช้ที่เจ้าพูดถึงนั้น เราจะเป็นผู้ที่เขาถือว่ามีเกียรติ¡± 23 และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ



F. พระเจ้าทรงพันธสัญญากับดาวิด 7:
1. พันธสัญญากับดาวิด 1-17
1 อยู่มาเมื่อพระราชาประทับในพระราชวังของพระองค์ และพระเจ้าทรงโปรดให้พระองค์พักจากการรบศึกรอบด้าน 2 พระราชาตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า ¡°ดูซิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าอยู่ในผ้าม่านเต็นท์¡± 3 และนาธันทูลพระราชาว่า ¡°ขอเชิญทรงกระทำทั้งสิ้นตามพระประสงค์ของฝ่าพระบาทเพราะพระเจ้าทรงสถิตกับฝ่าพระบาท¡±
4 แต่อยู่มาในคืนวันนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้ามาถึงนาธันว่า 5 ¡°จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ¡®พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะสร้างนิเวศให้เราอยู่หรือ 6 เราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับแต่วันที่เราพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งวันนี้ แต่เราก็ไปมากับเต็นท์และกับพลับพลา 7 ในที่ต่างๆ ที่เราได้เคลื่อนไปมากับชนชาติอิสราเอลทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับผู้วินิจฉัยของอิสราเอลคนใด ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเราหรือว่า ¡°ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา¡¯ ¡± 8 เพราะฉะนั้น บัดนี้เจ้าจงกล่าวแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ¡®พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราเอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแพะ แกะ เพื่อให้เจ้าเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา 9 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้กำจัดศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะกระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต อย่างกับชื่อเสียงของผู้ใหญ่ในโลก 10 และเราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอลประชากรของเรา และเราจะปลูกฝังเขาไว้เพื่อเขาทั้งหลายจะได้อยู่ในที่ของเขาเองและไม่ต้องถูกกวนใจอีก และคนชั่วจะไม่ข่มเหงเขาอีกดังแต่ก่อนมา 11 ตั้งแต่สมัยเมื่อเราตั้งผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอลประชากรของเรา และเราจะให้เจ้าพ้นจากการรบศึกรอบด้าน ยิ่งกว่านั้นอีก พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ 12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิดขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเราและเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย 15 แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า 16 ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะดำรงอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างมั่นคงเป็นนิตย์ และบัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์¡¯ ¡± 17 นาธันก็กราบทูลดาวิดตามถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นและตามนิมิตนี้ทั้งหมด

2. คำอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าของดาวิด 18-29
18 แล้วพระราชาดาวิดจึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระเจ้า และกราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงแค่นี้ 19 ข้าแต่พระเจ้า แต่นี่ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ และพระองค์ทรงลั่นพระวาจาถึงราชวงศ์ของข้าพระองค์ในอนาคตอันไกลนั้น ข้าแต่พระเจ้า และทั้งนี้ตามวิสัยของมนุษย์ 20 ดาวิดจะกราบทูลประการใดอีกต่อพระองค์ได้เล่า ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ 21 ที่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหญ่โตนี้ทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบก็เพราะพระสัญญาของพระองค์ และตามชอบพระทัยของพระองค์ 22 ข้าแต่พระเจ้า ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดๆ เหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินมา 23 ประชากรในโลกนี้จะเหมือนอิสราเอลประชากรของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าเสด็จไปทรงไถ่มาให้เป็นประชากรของพระองค์ กระทำให้พระนามของพระองค์มีเกียรติ และทรงกระทำสิ่งที่ใหญ่เพื่อเจ้าทั้งหลายและทรงกระทำสิ่งน่าสะพรึงกลัว เพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อหน้าประชากรของพระองค์ คือชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ออกจากอียิปต์ เพื่อพระองค์จากบรรดาประชาชาติ และบรรดาพระเจ้าของเขา 24 และพระองค์ทรงสถาปนาอิสราเอลประชากรของพระองค์ไว้ ให้เป็นประชากรเพื่อพระองค์เองเป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย 25 ข้าแต่พระเจ้า พระวาทะซึ่งพระองค์ทรงลั่นออกมาเกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขา ขอทรงดำรงซึ่งพระวาทะนั้นให้ถาวรเป็นนิตย์ และทรงกระทำดังที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาไว้ 26 ขอพระนามของพระองค์เป็นที่สรรเสริญอยู่เป็นนิตย์ว่า ¡®พระเจ้าจอมโยธาทรงเป็นพระเจ้าเหนืออิสราเอล¡¯ และราชวงศ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะดำรงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 27 ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ¡®เราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า¡¯ เพราะฉะนั้น ผู้รับใช้ของพระองค์จึงกล้าหาญที่จะวิงวอนด้วยคำอธิษฐานนี้ต่อพระองค์ 28 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และบรรดาพระวาทะของพระองค์เป็นความจริง และพระองค์ทรงสัญญาจะพระราชทานสิ่งดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 29 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอโปรดให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ที่จะอำนวยพระพรแก่ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ดำรงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเช่นนั้นแล้ว และด้วยพระพรของพระองค์ก็ขอให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นนิตย์¡±


II ความรุ่งเรืองของอาณาจักรดาวิด 8:-10:
C. การขยายแผ่นดินอิสราเอล 8:
1. การปราบปรามฟีลิสเตีย, โมอับ, ซีเรีย 1-8
1 อยู่มาภายหลัง ดาวิดทรงโจมตีพวกฟีลิสเตียและปราบปรามได้ และดาวิดทรงยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้จากมือคนฟีลิสเตีย
2 พระองค์ทรงชนะโมอับ ทรงวัดเขาด้วยเชือกวัด คือบังคับให้เรียงตัวเข้าแถวนอนลงที่พื้นดิน ทรงวัดดูแล้วให้ประหารเสียสองแถว และไว้ชีวิตเต็มหนึ่งแถวคนโมอับก็เป็นไพร่ของดาวิด และได้นำเครื่องบรรณาการมาถวาย
3 ดาวิดทรงรบชนะฮาดัดเอเซอร์บุตรเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์ เมื่อเสด็จไปฟื้นอำนาจของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส 4 และดาวิดทรงยึดพลม้าหนึ่งพันเจ็ดร้อยคน ทหารราบสองหมื่นคน และดาวิดรับสั่งให้ตัดเอ็นขาม้ารถรบเสียให้หมด เหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน 5 และเมื่อคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัสมาช่วยฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ดาวิดทรงประหารคนซีเรียเสียสองหมื่นสองพันคน 6 แล้วดาวิดทรงตั้งทหารประจำป้อมไว้เหนือคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัสหลายกอง และคนซีเรียก็เป็นพลไพร่ของดาวิด และนำเครื่องบรรณาการไปถวาย พระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิดไม่ว่าจะไปรบ ณ ที่ใดๆ 7 และดาวิดทรงนำโล่ทองคำที่ข้าราชการทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 8 และกษัตริย์ดาวิดทรงริบทองสัมฤทธิ์เป็นอันมากไปจากเมืองเบทาห์ และเมืองเบโรธัยหัวเมืองของฮาดัดเอเซอร์

2. การอวยพรดาวิดของฮาดัด 9-12
9 เมื่อโทอิกษัตริย์เมืองฮามัททราบว่าดาวิดรบชนะกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์ 10 โทอิก็ส่งโยรัมโอรสของตนไปเฝ้ากษัตริย์ดาวิด ถวายพระพรและแสดงความยินดีที่ดาวิดทรงรบชนะฮาดัดเอเซอร์ เพราะว่าฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกับโทอิ และโยรัมได้นำเครื่องเงิน เครื่องทองคำ และเครื่องทองสัมฤทธิ์ไปถวาย 11 สิ่งเหล่านี้ กษัตริย์ดาวิดทรงนำมอบถวายแด่พระเจ้า พร้อมกับบรรดาเงินและทองคำ ซึ่งพระองค์ทรงได้มาจากบรรดาประชาชาติที่พระองค์ทรงรบชนะและยึดครอง และทรงนำมามอบถวาย 12 คือได้มาจากซีเรีย โมอับ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย อามาเลข และจากของที่ริบมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์


3. การปราบปรามเอโดม 13-14
13 เมื่อดาวิดเสด็จกลับจากการประหาร คนซีเรียเสียในหุบเขาเกลือหนึ่งหมื่นแปดพันคน พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป 14 และพระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมขึ้นเหนือเมืองเอโดม พระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมในเอโดมทั่วไปหมด และคนเอโดมทั้งสิ้นจึงเป็นพลไพร่ของดาวิดและพระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิด ไม่ว่าจะเสด็จไปรบ ณ ที่ใด


4. การปกครองดีของดาวิด 15-18
15 ดังนั้นดาวิดจึงทรงปกครองเหนืออิสราเอลทั้งสิ้น และดาวิดทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมแก่ชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น 16 และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ 17 ศาโดกบุตรอาหิทูบและอาหิเมเลคบุตรอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต และเสไรอาห์เป็นราชเลขา 18 และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชาคนเคเรธี และคนเปเลทและบรรดาราชโอรสของดาวิดเป็นปุโรหิต

B. การสนับสนุนเชื้อสายซาอูล 9:
1 ดาวิดรับสั่งว่า ¡°พงศ์พันธุ์ของซาอูลนั้นมีเหลืออยู่บ้างหรือ เพื่อเราจะสำแดงสัจกรุณาแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธาน¡± 2 มีมหาดเล็กในวงศ์ซาอูลคนหนึ่งชื่อศิบา เขาก็เรียกให้มาเฝ้าดาวิดและพระราชาตรัสกับเขาว่า ¡°เจ้าคือศิบาหรือ¡± เขาทูลตอบว่า ¡°ข้าพระบาทคือศิบาพ่ะย่ะค่ะ¡± 3 พระราชาจึงตรัสว่า ¡°ไม่มีใครในวงศ์ซาอูลยังเหลืออยู่บ้างหรือ เพื่อเราจะได้แสดงความรักมั่นคงของพระเจ้าต่อเขา¡± ศิบากราบทูลพระราชาว่า ¡°ยังมีโอรสของโยนาธานเหลืออยู่คนหนึ่ง เท้าของเขาเป็นง่อยพ่ะย่ะค่ะ¡± 4 พระราชาตรัสถามเขาว่า ¡°เขาอยู่ที่ไหน¡± ศิบาจึงกราบทูลพระราชาว่า ¡°เขาอยู่ในเรือนของมาคีร์บุตรอัมมีเอลในเมืองโลเดบาร์พ่ะย่ะค่ะ¡± 5 แล้วกษัตริย์ดาวิดรับสั่งให้คนไปนำเขามาจากเรือนของมาคีร์บุตรอัมมีเอลที่โลเดบาร์ 6 เมฟีโบเชทโอรสของโยนาธานราชโอรสของซาอูลได้มาเฝ้าดาวิดและซบหน้าลงกราบถวายบังคม และดาวิดตรัสว่า ¡°เมฟีโบเชทเอ๋ย¡± เขาทูลตอบว่า ¡°ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท¡± 7 และดาวิดตรัสกับท่านว่า ¡°อย่ากลัวเลย เพราะเราจะสำแดงสัจกรุณาต่อท่าน เพื่อเห็นแก่โยนาธานบิดาของท่าน และเราจะมอบที่ดินทั้งหมดของซาอูลราชบิดาของท่านคืนแก่ท่าน และท่านจงรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป¡± 8 และเขาก็กราบถวายบังคมและทูลว่า ¡°ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นผู้ใดเล่า ซึ่งฝ่าพระบาทจะทอดพระเนตรสุนัขตายอย่างข้าพระบาทนี้¡±
9 แล้วพระราชาตรัสเรียกศิบามหาดเล็กของซาอูล และตรัสแก่เขาว่า ¡°บรรดาสิ่งของที่เป็นของซาอูลและของวงศ์ทั้งสิ้นของท่าน เราได้มอบให้แก่โอรสเจ้านายของเจ้าแล้ว 10 ตัวเจ้าและพวกบุตรของเจ้าและเหล่าคนใช้ของเจ้าต้องทำนาให้เขา และนำผลพืชที่ได้นั้นเข้ามาเพื่อโอรสแห่งเจ้านายของเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน แต่เมฟีโบเชทโอรสแห่งเจ้านายของเจ้านั้น จะรับประทานอาหารที่โต๊ะของเราเสมอไป¡± ฝ่ายศิบามีบุตรชายสิบห้าคนกับคนใช้ยี่สิบคน 11 แล้วศิบาจึงกราบทูลพระราชาว่า ¡°ตามที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทบัญชาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทนั้น ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำ¡± เมฟีโบเชทจึงรับประทานที่โต๊ะเสวยของดาวิด อย่างกับเป็นโอรสของกษัตริย์ 12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนของศิบาก็ได้เป็นมหาดเล็กของเมฟีโบเชท 13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอยู่ในเยรูซาเล็มเพราะท่านรับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ เท้าของท่านเป็นง่อยทั้งสองข้าง



D. การสงครามกับอัมโมน 10:
1. การเหยียดยามของฮานูนต่อผู้แทนดาวิด 1-5
1 อยู่มาภายหลังพระราชาแห่งคนอัมโมนก็สิ้นพระชนม์ และฮานูนราชโอรสได้เสวยราชสมบัติแทน 2 ดาวิดจึงตรัสว่า ¡°เราจะซื่อตรงต่อฮานูนราชโอรสของนาฮาช ดังที่บิดาของเขาซื่อตรงต่อเรา¡± ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปเล้าโลมท่านเกี่ยวด้วยเรื่องราชบิดาของท่าน และข้าราชการของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของคนอัมโมน 3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนเจ้านายของตนว่า ¡°ฝ่าพระบาทดำริว่า ดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาฝ่าพระบาท เพราะนับถือพระราชบิดาของฝ่าพระบาทเช่นนั้นหรือ ดาวิดมิได้ส่งข้าราชการมาเพื่อตรวจเมืองและสอดแนมดู และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้เสียดอกหรือ¡± 4 ฮานูนจึงจับข้าราชการของดาวิดมาโกนเคราเสียครึ่งหนึ่ง และตัดเครื่องแต่งกายเสียที่ตรงตอนกลางเพียงตะโพก แล้วปล่อยให้ไป 5 เมื่อมีคนไปกราบทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ก็รับสั่งให้คนไปรับข้าราชการเหล่านั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายได้รับความอับอายมาก และพระราชาตรัสว่า ¡°จงพักอยู่ที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของท่านทั้งหลายจะขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมา¡±

2. การปราบปรามอัมโมน 6-19
6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่า เขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด คนอัมโมนจึงส่งคนไปจ้างคนซีเรียชาวเมืองเบธเรโหบ และคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์เป็นทหารราบ จำนวนสองหมื่นคนกับกษัตริย์เมืองมาอาคาห์พร้อมกับทหารหนึ่งพันคนและชาวเมืองโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน 7 เมื่อดาวิดทรงทราบเช่นนั้นจึงรับสั่งโยอาบและพลโยธาทั้งสิ้นให้ไป 8 ฝ่ายคนอัมโมนก็ยกออกมาและจัดทัพไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์และชาวเมืองเรโหบกับคนเมืองโทบ และเมืองมาอาคาห์อยู่ที่ชนบทกลางแจ้งต่างหาก
9 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนั้นขนาบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วจัดทัพเข้าต่อสู้คนซีเรีย 10 ท่านมอบคนที่เหลืออยู่ไว้ในบังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายของท่าน และเขาก็จัดคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับคนอัมโมน 11 ท่านกล่าวว่า ¡°ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งเหลือกำลังของเราเจ้าจงยกไปช่วยเราแต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งเกินกำลังของเจ้า เราจะยกมาช่วยเจ้า 12 จงมีความกล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองแห่งพระเจ้าของเราและขอพระเจ้าทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด¡± 13 ดังนั้น โยอาบกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ยกเข้าใกล้ต่อสู้กับคนซีเรีย ข้าศึกก็แตกหนีไปต่อหน้าเขา 14 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าคนซีเรียหนีไปแล้ว เขาทั้งหลายก็หนีอาบีชัยเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบก็กลับจากการสู้รบกับคนอัมโมนมายังกรุงเยรูซาเล็ม
15 ครั้นคนซีเรียเห็นว่าตนพ่ายแพ้ต่ออิสราเอลแล้ว จึงรวบรวมเข้าด้วยกัน 16 ฝ่ายฮาดัดเอเซอร์ทรงใช้คนไปนำคนซีเรียผู้อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติสออกมา เขามายังตำบลเฮลาม มีโชบัคแม่ทัพของท่านเป็นผู้นำหน้า 17 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิด พระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงตำบลเฮลาม และคนซีเรียก็จัดทัพเข้าต่อสู้ดาวิดและได้รบกับพระองค์ 18 คนซีเรียก็หนีจากอิสราเอล และดาวิดทรงประหารคนซีเรียซึ่งเป็นทหารรถรบเจ็ดร้อยคน กับทหารม้าสี่หมื่นคนเสีย และประหารโชบัคแม่ทัพของเขาทั้งหลายให้สิ้นชีวิตเสียที่นั่น 19 และเมื่อบรรดากษัตริย์ซึ่งขึ้นกับฮาดัดเอเซอร์เห็นว่า ตนพ่ายแพ้ต่ออิสราเอลแล้ว เขาก็ยอมสงบสุขกับอิสราเอล และยอมเป็นเมืองขึ้น ดังนั้นคนซีเรียจึงกลัวไม่กล้าช่วยคนอัมโมนอีกต่อไป


III การทำบาปของดาวิด และ ผลการทำบาป 11:-20:
B. การทำบาปของดาวิด 11:
1. ดาวิด และ บัทเซบา 1-5
C. 1 ครั้นถึงฤดูแล้งเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ ดาวิดทรงใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและอิสราเอลทั้งหมด เขาไปกวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
D. 2 อยู่มาเวลาเย็นวันหนึ่งเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่น และดำเนินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวัง ทอดพระเนตรจากหลังคาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาบน้ำอยู่ หญิงคนนั้นสวยงามมาก 3 ดาวิดทรงใช้คนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งมากราบทูลว่า ¡°หญิงคนนี้ชื่อบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ¡± 4 ดาวิดก็ทรงใช้ผู้สื่อสารไปรับนางมา นางก็มาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์ทรงสมสู่กับนาง (พอดีนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินของนางแล้ว) แล้วนางก็กลับไปเรือนของตน 5 ผู้หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์ นางจึงใช้คนไปกราบทูลดาวิดว่า ¡°หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว¡±

2. ดาวิดและ อุรียาห์ 6-27
6 ดาวิดทรงใช้คนไปบอกโยอาบว่า ¡°จงส่งอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาให้เรา¡± โยอาบก็ส่งตัวอุรีอาห์ไปให้ดาวิด 7 เมื่ออุรีอาห์เข้าเฝ้าพระองค์ ดาวิดรับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง พวกพลเป็นอย่างไร การสงครามคืบหน้าไปอย่างไร 8 แล้วดาวิดรับสั่งอุรีอาห์ว่า ¡°จงลงไปบ้านของเจ้า และล้างเท้าของเจ้าเสีย¡± อุรีอาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง และมีคนนำของประทานจากพระราชาตามไปให้ 9 แต่อุรีอาห์ได้นอนเสียที่ประตูพระราชวังพร้อมกับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของพระองค์ มิได้ลงไปที่บ้านของตน 10 เมื่อมีคนกราบทูลดาวิดว่า ¡°อุรีอาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขาพ่ะย่ะค่ะ¡± ดาวิดรับสั่งแก่อุรีอาห์ว่า ¡°เจ้ามิได้เดินทางมาดอกหรือ ทำไมจึงไม่ลงไปบ้านของเจ้า¡± 11 อุรีอาห์ทูลตอบดาวิดว่า ¡°หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์อยู่ในทับอาศัย โยอาบเจ้านายของข้าพระบาทกับบรรดาข้าราชการของฝ่าพระบาทตั้งค่ายอยู่ที่พื้นทุ่ง ส่วนข้าพระบาทจะไปบ้าน ไปกิน ไปดื่ม และนอนกับภรรยาของข้าพระบาทเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และวิญญาณจิตของพระองค์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทจะไม่กระทำอย่างนี้เลย¡± 12 แล้วดาวิดก็รับสั่งแก่อุรีอาห์ว่า ¡°วันนี้ก็ค้างเสียที่นี่เถิด พรุ่งนี้เราจะให้เจ้าไป¡± อุรีอาห์ก็ค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในวันนั้นและในวันรุ่งขึ้น 13 ดาวิดทรงเชิญเขามา เขาก็มารับประทานและดื่มต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงกระทำให้เขามึนเมา ในเย็นวันนั้นเขาก็ออกไปนอนกับข้าราชการของเจ้านายของเขา แต่มิได้ลงไปบ้าน
14 ครั้นรุ่งเช้าดาวิดทรงอักษรถึงโยอาบและทรงฝากไปกับอุรีอาห์ 15 ในลายพระหัตถ์นั้นว่า ¡°จงตั้งอุรีอาห์ให้เป็นกองหน้าเข้าสู้รบตรงที่ดุเดือดที่สุด แล้วล่าทัพกลับเสียเพื่อให้เขาถูกโจมตีให้ตาย¡± 16 อยู่มาเมื่อโยอาบกำลังเฝ้าล้อมเมืองอยู่ ท่านจึงกำหนดให้อุรีอาห์ไปรบตรงที่ที่ท่านทราบว่ามีทหารเข้มแข็งมาก 17 คนในเมืองก็ออกมาสู้รบกับโยอาบ มีคนตายบ้างคือข้าราชการบางคนของดาวิดได้ล้มตาย อุรีอาห์คนฮิตไทต์ก็ตายด้วย 18 โยอาบจึงส่งคนไปกราบทูลข่าวการรบทั้งสิ้นต่อดาวิด 19 ท่านได้แนะนำผู้สื่อสารนั้นว่า ¡°เมื่อเจ้ากราบทูลข่าวการรบต่อพระราชาเสร็จทุกประการแล้ว 20 ถ้าพระราชากริ้วและตรัสถามเจ้าว่า ¡®ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงยกเข้ารบใกล้เมืองนัก เจ้าไม่ทราบหรือว่าเขาจะยิงออกมาจากกำแพง 21 ใครฆ่าอาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ท่อนบนทุ่มเขาจากกำแพงเมืองจนเขาตายเสียที่เมืองเธเบศดอกหรือ ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงเข้าไปใกล้กำแพง¡¯ แล้วเจ้าจงกราบทูลว่า ¡®อุรีอาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ตายด้วย¡¯ ¡± 22 ผู้สื่อสารก็ไป เขามาทูลต่อดาวิดถึงทุกอย่างที่โยอาบสั่งเขาให้มากราบทูล 23 ผู้สื่อสารนั้นกราบทูลดาวิดว่า ¡°ข้าศึกได้เปรียบต่อเรามาก และได้ออกมาสู้รบกับฝ่ายเราที่กลางทุ่ง แต่เราได้ขับไล่เขาเข้าไปถึงทางเข้าประตูเมือง 24 แล้วทหารธนูก็ยิงข้าราชการของพระองค์จากกำแพง ข้าราชการของพระราชาบางคนก็สิ้นชีวิต และอุรีอาห์คนฮิตไทต์ข้าราชการของพระองค์ก็สิ้นชีวิตด้วย¡± 25 ดาวิดก็รับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า ¡°เจ้าจงบอกโยอาบดังนี้ว่า ¡®อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่เลือกว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบหนักเข้าไป และตีเอาเมืองนั้นเสียให้ได้¡¯ เจ้าจงหนุนน้ำใจท่านด้วย¡±
26 เมื่อภรรยาของอุรีอาห์ทราบข่าวว่าอุรีอาห์สามีของตนสิ้นชีวิตแล้ว นางก็คร่ำครวญด้วยเรื่องสามีของนาง 27 เมื่อสิ้นการไว้ทุกข์แล้วดาวิดก็ส่งคนไปให้พานางมาที่พระราชวัง และนางก็ได้เป็นมเหสีของพระองค์ ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงกระทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

B. ความตายของลูกของบัทเซบา 12:
1. การกล่าวโทษดาวิดของนาธัน 1-15a
1 พระเจ้าทรงใช้ให้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและกราบทูลพระองค์ว่า ¡°ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน 2 คนมั่งมีนั้นมีแพะแกะและโคเป็นอันมาก 3 แต่คนจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่แกะตัวเมียตัวเดียวที่ซื้อเขามา ซึ่งเขาเลี้ยงไว้ และอยู่กับเขา มันได้เติบโตขึ้นพร้อมกับบุตรของเขา กินอาหารร่วมและดื่มน้ำถ้วยเดียวกับเขา นอนในอกของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา 4 ฝ่ายคนมั่งมีคนนั้นมีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือโคของตนมาทำอาหารเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมนั้น จึงเอาแกะตัวเมียของชายคนจนนั้นเตรียมเป็นอาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยมตน¡± 5 ดาวิดกริ้วชายคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำเช่นนั้นจะต้องตาย 6 และจะต้องคืนแกะให้สี่เท่าเพราะเขาได้กระทำอย่างนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีเมตตาจิต¡±
7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า ¡°ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ¡®เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเราช่วยกู้เจ้าออกมาจากมือของซาอูล 8 และเราได้มอบวงศ์เจ้านายของเจ้าไว้ในมือของเจ้า และได้มอบภรรยาเจ้านายของเจ้าไว้ในอกของเจ้า และมอบวงศ์วานอิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์ให้แก่เจ้า ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้อีกเท่านี้ 9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน และได้ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน 10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า¡¯ 11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ¡®ดูเถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย¡¯ ¡± 13 ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธันว่า ¡°เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว¡± และนาธันกราบทูลดาวิดว่า ¡°พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา 14 อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่าพระบาทได้เหยียดหยามพระเจ้าอย่างที่สุดด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะประสูติมานั้นจะต้องสิ้นชีวิต¡± 15 แล้วนาธันก็กลับไปยังบ้านของตน

2. ความตายของลูกบัทเซบา 15b-23
แล้วพระเจ้าทรงกระทำแก่บุตร ซึ่งภรรยาของอุรีอาห์บังเกิดกับดาวิด และพระกุมารนั้นก็ประชวรหนัก 16 ดาวิดก็ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น และดาวิดทรงอดพระกระยาหารและบรรทมบนพื้นดินคืนยังรุ่ง 17 บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่ 18 พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัวไม่กล้ากราบทูลดาวิดว่าเด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้ว เขาพูดกันว่า ¡°ดูเถิด เมื่อพระกุมารนั้นทรงพระชนม์อยู่ เราทูลพระองค์ พระองค์หาทรงฟังเสียงของเราไม่ แล้วเราทั้งหลายอาจจะกราบทูลได้อย่างไรว่า พระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็จะกระทำอันตรายต่อพระองค์เอง¡± 19 แต่เมื่อดาวิดทอดพระเนตรเห็นข้าราชการกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดเข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ดาวิดจึงรับสั่งถามข้าราชการของพระองค์ว่า ¡°เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ¡± เขาทูลตอบว่า ¡°สิ้นชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ¡± 20 แล้วดาวิดทรงลุกขึ้นจากพื้นดิน ชำระพระกายชโลมพระองค์ และทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ ทรงดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและทรงนมัสการ แล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระองค์ รับสั่งให้นำพระกระยาหารมา เขาก็จัดพระกระยาหารให้พระองค์เสวย 21 ข้าราชการจึงทูลถามพระองค์ว่า ¡°เป็นไฉนฝ่าพระบาททรงกระทำเช่นนี้ ฝ่าพระบาททรงอดพระกระยาหารและกันแสงเพื่อพระกุมารนั้นเมื่อทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ฝ่าพระบาทก็ทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหาร¡± 22 พระองค์รับสั่งว่า ¡°เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า ¡®ใครจะทราบได้ว่าพระเจ้าจะทรงพระเมตตาเราโปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่¡¯ 23 แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้¡±

3. การเกิดซาโลมอน 24-25
24 ฝ่ายดาวิดทรงเล้าโลมใจบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงสมสู่กับพระนาง พระนางก็ประสูติบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาโลมอน และพระเจ้าทรงรักซาโลมอน 25 และทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ท่านจึงตั้งชื่อราชโอรสนั้นว่า เยดีดิยาห์ เพราะเห็นแก่พระเจ้า


4. การถูกปราบคนอัมโมน 26-31
26 ฝ่ายโยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของคนอัมโมน และยึดราชธานีไว้ได้ 27 และโยอาบได้ส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด ทูลว่า ¡°ข้าพระบาทได้สู้รบกับกรุงรับบาห์ ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพระบาทตีได้เมืองที่มีน้ำพุนั้นแล้ว 28 บัดนี้ขอพระองค์ทรงรวบรวมพลที่เหลือ เข้าตั้งค่ายตีเมืองนั้นให้ได้ เกลือกว่าถ้าข้าพระบาทตีได้ ก็จะต้องเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อของข้าพระบาท¡± 29 ดาวิดจึงทรงรวบรวมพลเข้าด้วยกันยกไปยังเมืองรับบาห์ และต่อสู้จนยึดเมืองนั้นได้ 30 ทรงริบมงกุฎจากเศียรกษัตริย์ของเมืองนั้น มงกุฎนั้นเป็นทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ ประดับด้วยเพชรและเขาก็สวมบนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ทรงเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นได้เป็นอันมาก 31 ทรงควบคุมประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นให้ทำงานด้วยเลื่อย คราดเหล็กและขวานเหล็ก และบังคับให้ทำงานที่เตาเผาอิฐ ได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่บรรดาหัวเมืองของคนอัมโมนทั่วไป แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพลทั้งสิ้น

C. อัมโนนและทามาร 13:
1. อัมโนนข่มขึ้นทามาร 1-19
1 ฝ่ายอับซาโลมราชโอรสของดาวิดมีขนิษฐาองค์หนึ่ง รูปโฉมสะคราญชื่อทามาร์ ครั้นอยู่มาอัมโนนราชโอรสของดาวิดก็รักเธอ 2 ด้วยเหตุทามาร์น้องหญิงนี้ จิตใจของอัมโนนก็ถูกทรมานจนถึงกับล้มป่วย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนนจึงรู้สึกว่าจะทำอะไรกับเธอไม่ได้เลย 3 แต่อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อโยนาดับบุตรของชิเมอาห์เชษฐาของดาวิด โยนาดับนั้นเป็นคนเจ้าปัญญา 4 จึงทูลถามว่า ¡°ข้าแต่ราชโอรสของพระราชา ไฉนทูลกระหม่อมจึงซมเซาอยู่ทุกเช้าๆ จะไม่บอกให้เกล้าฯทราบบ้างหรือ¡± อัมโนนตอบเขาว่า ¡°เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมอนุชาของเรา¡± 5 โยนาดับจึงทูลท่านว่า ¡°ขอเชิญบรรทมบนพระแท่นแสร้งกระทำเป็นประชวร และเมื่อเสด็จพ่อมาเยี่ยมทูลกระหม่อมขอกราบทูลว่า ¡®ขอโปรดรับสั่งทามาร์น้องหญิงมาให้อาหารแก่ข้าพระบาท ให้มาเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระบาทเพื่อข้าพระบาทจะได้เห็น และได้รับประทานจากมือของเธอ¡¯ ¡± 6 อัมโนนจึงบรรทมแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อพระราชาเสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลพระราชาว่า ¡°ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำขนมสักสองอันต่อหน้าข้าพระบาท เพื่อข้าพระบาทจะได้รับประทานจากมือของเธอ¡±
7 ดาวิดทรงใช้คนไปหาทามาร์ที่วังรับสั่งว่า ¡°ขอจงไปที่บ้านของอัมโนนพี่ของเจ้า และเตรียมอาหารให้เขารับประทาน¡± 8 ทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนเชษฐาของเธอที่ที่เขาบรรทมอยู่ เธอก็หยิบแป้งมานวดทำขนมต่อหน้าเชษฐาแล้วปิ้ง 9 และเธอก็ยกกระทะมาเทออกต่อหน้าเชษฐา แต่อัมโนนก็ไม่ทรงเสวย กล่าวว่า ¡°ให้ทุกคนออกไปเสียให้พ้นเรา¡± ทุกคนก็ออกไป 10 อัมโนนก็รับสั่งกับทามาร์ว่า ¡°จงเอาอาหารเข้ามาในห้องใน เพื่อพี่จะได้รับประทานจากมือของน้อง¡± ทามาร์ก็นำขนมที่เธอทำนั้นเข้าไปในห้องเพื่อให้แก่อัมโนนเชษฐา 11 แต่เมื่อเธอนำขนมมาใกล้เพื่อให้ท่านรับประทาน ท่านก็จับมือเธอไว้รับสั่งว่า ¡°น้องของพี่เข้ามานอนกับพี่เถิด¡± 12 เธอจึงตอบท่านว่า ¡°ไม่ได้ดอกพระเชษฐาขออย่าบังคับน้องเลย สิ่งอย่างนี้เขาไม่กระทำกันในอิสราเอล ขออย่ากระทำการโฉดเขลาอย่างนี้เลย 13 ฝ่ายหม่อมฉัน หม่อมฉันจะเอาความอายไปซ่อนไว้ที่ไหน ฝ่ายท่านเล่า ท่านจะเป็นคนโฉดเขลาในอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอทูลพระราชาพระองค์คงจะไม่หวงหม่อมฉันไว้ไม่ให้ท่าน¡± 14 แต่ท่านก็หาฟังเสียงเธอไม่ ด้วยท่านมีกำลังมากกว่าจึงข่มขืน และนอนร่วมกับเธอ
15 ต่อมาอัมโนนก็เบื่อหน่าย และเกลียดชังเธอยิ่งนัก ความเกลียดชังครั้งนี้ก็มากยิ่งกว่าความรักซึ่งท่านได้รักเธอมาก่อน และอัมโนนรับสั่งกับเธอว่า ¡°จงลุกขึ้นไป¡± 16 แต่เธอตอบท่านว่า ¡°อย่าเลยพระเชษฐา ที่จะขับไล่หม่อมฉันไปครั้งนี้นั้นก็เป็นความผิดใหญ่ยิ่งกว่าที่พระเชษฐาได้ทำกับน้องมาแล้ว¡± แต่ท่านหาได้เชื่อฟังเธอไม่ 17 ท่านจึงเรียกมหาดเล็กที่ปรนนิบัติอยู่สั่งว่า ¡°จงไล่ผู้หญิงคนนี้ให้ออกไปพ้นหน้าของข้าแล้วปิดประตูใส่กลอนเสีย¡± 18 เธอสวมเสื้อคลุมยาวมีแขนดังที่ราชธิดาพรหมจารีของพระราชาสวมกัน มหาดเล็กของท่านจึงไล่เธอออกไปและใส่กลอนประตูเสีย 19 ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวมีแขนที่เธอสวมอยู่นั้นเสีย เอามือกุมศีรษะเดินพลางร้องครวญไปพลาง


2. อับซาโลมฆ่าอัมโนน 20-39
20 อับซาโลมเชษฐาของเธอก็กล่าวกับเธอว่า ¡°อัมโนนเชษฐาได้อยู่กับน้องหรือ น้องเอ๋ย นิ่งเสีย เพราะเขาเป็นพี่ อย่าร้อนใจเพราะเรื่องนี้เลย¡± ฝ่ายทามาร์ก็อยู่เปล่าเปลี่ยวในวังของอับซาโลมเชษฐา 21 เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก 22 แต่อับซาโลมมิได้ตรัสประการใดกับอัมโนนเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนนมาก เหตุที่ท่านได้ข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่าน
23 ต่อมาอีกสองปีเต็ม อับซาโลมมีงานตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมได้เชิญโอรสทั้งสิ้นของพระราชา ไปในงานนั้น 24 อับซาโลมไปเฝ้าพระราชาทูลว่า ¡°ดูเถิด ข้าพระบาทมีงานตัดขนแกะ ขอเชิญพระราชาและมหาดเล็กของพระองค์ ไปในงานนั้นกับข้าพระบาท¡± 25 แต่พระราชาตรัสกับอับซาโลมว่า ¡°ลูกเอ๋ย อย่าเลย อย่าให้พวกเราไปกันหมดเลย จะเป็นภาระแก่เจ้าเปล่าๆ¡± อับซาโลมคะยั้นคะยอพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์มิได้ยอมเสด็จ แต่ทรงอำนวยพระพรให้ 26 อับซาโลมจึงกราบทูลว่า ¡°ถ้าไม่โปรดเสด็จก็ขออนุญาตให้พระเชษฐาอัมโนนไปด้วยกันเถิด¡± และพระราชาตรัสถามว่า ¡°ทำไมเขาต้องไปกับเจ้าด้วย¡± 27 แต่อับซาโลมทูลคะยั้นคะยอจนพระองค์ทรงยอมให้อัมโนนและราชโอรสของพระราชาทั้งสิ้นไปด้วย 28 แล้วอับซาโลมบัญชามหาดเล็กของท่านว่า ¡°จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อเราสั่งเจ้าว่า ¡®จงตีอัมโนน¡¯ เจ้าทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงกล้าหาญและเป็นคนเก่งกล้าเถิด¡± 29 และมหาดเล็กของอับซาโลมก็กระทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้บัญชาไว้ แล้วบรรดาราชโอรสของพระราชาก็พากันลุกขึ้นทรงล่อของแต่ละองค์หนีไปสิ้น
30 ขณะเมื่อราชโอรสได้ดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า ¡°อับซาโลมได้ประหารราชโอรสของพระราชาหมดแล้ว ไม่เหลืออยู่สักองค์เดียว¡± 31 พระราชาทรงลุกขึ้นฉีกฉลองพระองค์ และทรงบรรทมบนพื้นดิน บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นสวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่ 32 แต่โยนาดับบุตรชิเมอาห์เชษฐาของดาวิดกราบทูลว่า ¡°ขออย่าให้เจ้านายของข้าพระบาทสำคัญผิดไปว่า เขาได้ประหารราชโอรสหนุ่มแน่นเหล่านั้นหมดแล้ว เพราะว่าอัมโนนสิ้นชีวิตแต่ผู้เดียว เพราะตามบัญชาของอับซาโลม เรื่องนี้ท่านตั้งใจไว้แต่ครั้งที่อัมโนนข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่านแล้ว 33 ฉะนั้น ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทอย่าได้ร้อนพระทัย ด้วยสำคัญว่า ราชโอรสทั้งหมดของพระองค์สิ้นชีวิตเพราะอัมโนนสิ้นชีพแต่ผู้เดียว¡±
34 แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดู ดูเถิด ประชาชนเป็นอันมากกำลังมาจากถนนโฮโรนาอิมข้างๆ ภูเขา 35 โยนาดับจึงกราบทูลพระราชาว่า ¡°ดูเถิด ราชโอรสกำลังดำเนินมาแล้ว ตามที่ข้าพระบาทกราบทูลก็เป็นจริงดังนั้น¡± 36 อยู่มาเมื่อเขาพูดจบลงดูเถิด ราชโอรสของพระราชาก็มาถึงและได้ร้องไห้ ฝ่ายพระราชาก็กันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย
37 อับซาโลมได้หนีไปเข้าเฝ้าทัลมัย โอรสของอัมมีฮูด พระราชาเมืองเกชูร์ แต่ดาวิดทรงไว้ทุกข์ให้ราชโอรสของพระองค์วันแล้ววันเล่า 38 ฝ่ายอับซาโลมก็หนีไปยังเมืองเกชูร์ และทรงอยู่ที่นั่นสามปี 39 ดาวิดพระราชาก็ทรงตรอมพระทัยอาลัยถึงอับซาโลม เพราะการที่ทรงคิดถึงอัมโนนนั้นค่อยคลายลง ด้วยเขาสิ้นชีพแล้ว

D. อับซาโลมกบฎดาวิด 14:-18:
1. อับซาโลมกลับเยรูซาเล็ม 14:

a. อุบายของโยอาบ 1-20
1 ฝ่ายโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ทราบว่าพระราชาอาลัยถึงอับซาโลม 2 โยอาบจึงใช้คนไปยังเมืองเทโคอาพาหญิงที่ฉลาดมาจากที่นั่นคนหนึ่ง บอกนางว่า ¡°ขอจงแสร้งทำเป็นคนไว้ทุกข์ สวมเสื้อของคนไว้ทุกข์อย่าชโลมน้ำมัน แต่แสร้งทำเหมือนผู้หญิงที่ไว้ทุกข์ให้ผู้ตายมาหลายวันแล้ว 3 จงเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลข้อความนี้แก่พระองค์¡± แล้วโยอาบก็สอนคำกราบทูลให้หญิงนั้น
4 เมื่อหญิงชาวเทโคอามาเฝ้าพระราชา นางก็ซบหน้าลงถึงดินถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระราชา ขอพระกรุณาคุณเป็นที่พึ่ง¡± 5 พระราชาตรัสถามหญิงนั้นว่า ¡°เจ้ามีเรื่องอะไร¡± นางกราบทูลว่า ¡°อนิจจา หม่อมฉันเป็นหญิงม่าย สามีตายเสียแล้ว 6 สาวใช้ของฝ่าพระบาทมีบุตรสองคน วิวาทกันที่ในทุ่งนา ไม่มีใครช่วยห้ามปราม บุตรคนหนึ่งจึงตีอีกคนหนึ่งตาย 7 ดูเถิด หมู่ญาติรุมกันมาหาสาวใช้ของฝ่าพระบาทบอกว่า ¡®จงมอบผู้ที่ฆ่าพี่ชายของตัวมาให้เรา เพื่อเราจะฆ่าเขาเสีย เพื่อแก้แค้นแทนพี่ชายที่เขาได้ฆ่าเสียนั้น จะได้ฆ่าผู้ที่รับมรดกเสียด้วย¡¯ ดังว่าจะดับถ่านไฟของหม่อมฉันที่ยังเหลืออยู่นั้นเสีย ไม่ให้สามีของหม่อมฉันมีชื่อหรือมีเชื้อเหลืออยู่บนพื้นโลกเลย¡±
8 พระราชาจึงรับสั่งแก่หญิงคนนั้นว่า ¡°ไปบ้านของเจ้าเถิด เราจะสั่งการเรื่องเจ้า¡± 9 หญิงชาวเทโคอาได้กราบทูลพระราชาว่า ¡°ข้าแต่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ขอให้โทษตกอยู่กับหม่อมฉัน และกับพงศ์พันธุ์บิดาของหม่อมฉัน แต่พระราชาและราชบัลลังก์ของพระองค์อย่าให้มีโทษเลย¡± 10 พระราชาตรัสว่า ¡°ถ้ามีผู้ใดกล่าวอะไรแก่เจ้า จงพาเขามาหาเรา คนนั้นจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย¡± 11 นางก็กราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระองค์ ขอพระราชาทรงกระทำสาบานในพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท เพื่อผู้อาฆาตจะไม่กระทำการฆ่าอีกต่อไป และบุตรของหม่อมฉันจะไม่ต้องถูกทำลาย¡± พระองค์ตรัสว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของบุตรของเจ้าสักเส้นเดียวจะไม่ตกลงถึงดิน¡±
12 แล้วหญิงนั้นกราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระองค์ ขอสาวใช้ของฝ่าพระบาทกราบทูลอีกสักคำหนึ่ง แก่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน¡± พระองค์ตรัสว่า ¡°พูดไป¡± 13 หญิงนั้นจึงกราบทูลว่า ¡°เหตุใดพระองค์ทรงดำริจะกระทำอย่างนี้แก่ประชากรของพระเจ้า ในการที่ตรัสเช่นนี้พระราชาทรงกล่าวโทษพระองค์เอง ในประการที่พระราชามิได้ทรงนำผู้ถูกเนรเทศกลับสู่พระราชสำนัก 14 คนเราจะต้องตายหมดด้วยกันทุกคน เป็นเหมือนน้ำที่หกบนแผ่นดิน จะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ พระเจ้ามิทรงทำลายชีวิต แต่ทรงดำริหาหนทางไม่ให้ผู้ที่ถูกเนรเทศต้องถูกทรงทอดทิ้ง 15 ที่หม่อมฉันมากราบทูลเรื่องนี้ต่อพระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน เพราะประชาชนขู่หม่อมฉันให้กลัว และสาวใช้ของฝ่าพระบาทคิดว่า ¡®ฉันจะกราบทูลพระราชา หวังว่าพระราชาจะโปรดตามคำขอของผู้รับใช้ของพระองค์ 16 ด้วยพระราชาจะทรงสดับฟังและทรงช่วยกู้ผู้รับใช้ของพระองค์ ให้พ้นจากมือของผู้ที่ตั้งใจทำลายฉันและลูกของฉันเสียจากมรดกของพระเจ้า¡¯ 17 และสาวใช้ของฝ่าพระบาทคิดว่า ¡®ขอให้พระดำรัสของพระราชาเจ้านายของฉันเป็นที่ให้พำนัก¡¯ เพราะพระราชาเจ้านายของฉันเปรียบประดุจทูตของพระเจ้า ในการที่จะประจักษ์ความดีและความชั่ว ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาททรงสถิตกับฝ่าพระบาทเถิด¡±
18 แล้วพระราชาทรงตอบหญิงนั้นว่า ¡°สิ่งใดที่เราจะถามเจ้าเจ้าอย่าปิดบังนะ¡± ผู้หญิงนั้นกราบทูลว่า ¡°ขอพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันจงตรัสเถิด¡± 19 พระราชาจึงตรัสถามว่า ¡°ในเรื่องทั้งสิ้นนี้มือของโยอาบเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยหรือเปล่า¡± หญิงนั้นทูลตอบว่า ¡°ข้าแต่พระราชา เจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครหลบหลีกพระดำรัสของพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันไปทางขวาหรือทางซ้ายได้ โยอาบผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทนั่นแหละให้หม่อมฉันกราบทูล เขาเป็นผู้สอนคำกราบทูลแก่หม่อมฉันสาวใช้ของฝ่าพระบาท 20 โยอาบได้กระทำเช่นนี้ก็เพื่อจะเปลี่ยนโฉมหน้าของเหตุการณ์ แต่เจ้านายของหม่อมฉันทรงมีพระสติปัญญา ดังสติปัญญาแห่งทูตของพระเจ้า ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพิภพ¡±

b. การกลับของอับซาโลม 21-33
21 พระราชาตรัสสั่งโยอาบว่า ¡°ดูเถิด เราอนุมัติตามคำขอนี้แล้ว จงไปพาอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมา¡± 22 โยอาบก็ซบหน้าลงถึงดินถวายบังคม แล้วโมทนาพระคุณพระราชา โยอาบกราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท วันนี้ข้าพระบาททราบว่า ข้าพระบาทได้รับพระกรุณาในประการที่พระราชาทรงอนุมัติ ตามคำทูลขอของข้าพระบาท¡± 23 โยอาบจึงลุกขึ้นไปยังเมืองเกชูร์และพาอับซาโลมมายังกรุงเยรูซาเล็ม 24 และพระราชารับสั่งว่า ¡°ให้เขาไปอยู่วังของเขาเถิด อย่าให้เข้าเฝ้าเรา¡± อับซาโลมก็ไปอยู่วังของท่านมิได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา
25 ในบรรดาอิสราเอลหามีผู้ใดรูปงามน่าชมอย่างอับซาโลมไม่ ในตัวท่านตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมไม่มีตำหนิเลย 26 เมื่อท่านตัดผม (ท่านเคยตัดผมสิ้นปีทุกปีเพราะผมหนักแล้วท่านก็ตัดเสีย) ท่านก็ชั่งผมของท่านได้หนักสองร้อยเชเขลตามพิกัดหลวง 27 มีบุตรชายสามคนเกิดแก่อับซาโลม และบุตรีคนหนึ่งชื่อทามาร์ เธอเป็นหญิงที่สวยงาม
28 อับซาโลมประทับในกรุงเยรูซาเล็มได้สองปีเต็ม โดยมิได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา 29 แล้วอับซาโลมก็ให้ไปตามโยอาบ จะใช้ให้เข้าไปเฝ้าพระราชาแต่โยอาบไม่ยอมมาหาท่าน ท่านก็ใช้คนไปครั้งที่สองแต่โยอาบก็ไม่มาเหมือนกัน 30 ท่านจึงสั่งมหาดเล็กของท่านว่า ¡°ดูซิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบารลีที่นั่น จงเอาไฟเผาเสีย¡± มหาดเล็กของอับซาโลมก็ไปเอาไฟเผานา 31 โยอาบก็ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วังของท่านถามท่านว่า ¡°ทำไมมหาดเล็กของท่านจึงเอาไฟเผานาของหม่อมฉัน¡± 32 อับซาโลมตอบโยอาบว่า ¡°ดูเถิด เราส่งคนไปบอกท่านว่า ¡®มานี่เถิด เราจะส่งท่านไปหาพระราชาทูลว่า ¡°ให้ข้าบาทมาจากเกชูร์ทำไม ข้าบาทยังอยู่ที่นั่นก็ดีกว่า¡± บัดนี้ขอให้เราได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา ถ้าเรามีความผิดก็ขอพระองค์ทรงประหารเราเสีย¡¯ ¡± 33 โยอาบจึงเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลพระองค์ พระองค์ก็ทรงเรียกอับซาโลม ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระราชาโน้มกายลงซบหน้าลงถึงดินต่อพระพักตร์พระราชา พระราชาก็ทรงจุบอับซาโลม

2. อับซาโลมกบฎดาวิด 15:1-12
1 อยู่มาภายหลัง อับซาโลมได้รถรบและม้ากับทหารวิ่งนำหน้าห้าสิบคน 2 อับซาโลมตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ไปประทับริมทางไปยังประตูเมือง ถ้าผู้ใดมีเรื่องที่จะถวายพระราชาให้ทรงตัดสิน อับซาโลมก็เรียกผู้นั้น ถามว่า ¡°เจ้ามาจากเมืองไหน¡± และเมื่อเขาทูลตอบว่า ¡°ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเผ่าหนึ่งในอิสราเอล¡± 3 อับซาโลมจึงจะบอกเขาว่า ¡°ดูซิ ข้อหาของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่พระราชามิได้ทรงตั้งผู้ใดไว้ฟังคดีของเจ้า¡± 4 อับซาโลมเคยกล่าวยิ่งกว่านั้นว่า ¡°เออ ถ้าข้าเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ก็ดี เมื่อใครมีข้อหาหรือคดีจะได้มาหาข้า ข้าจะตัดสินให้ความยุติธรรมแก่เขา¡± 5 เมื่อมีผู้ใดเข้ามาใกล้จะกราบถวายบังคมท่าน ท่านจะยื่นมือออกจับคนนั้นไว้และจุบเขา 6 อับซาโลมกระทำอย่างนี้แก่บรรดาคนอิสราเอลผู้มาเฝ้าพระราชาเพื่อขอการพิพากษา อับซาโลมก็ลอบเอาใจคนอิสราเอลอย่างนี้
7 ครั้นล่วงมาได้สี่สิบปี อับซาโลมกราบทูลพระราชาว่า ¡°ขอโปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระบาทไปแก้บนที่เมืองเฮโบรน ซึ่งข้าพระบาทได้บนไว้ต่อพระเจ้า 8 เพราะว่าข้าพระบาทได้บนไว้เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองเกชูร์ประเทศซีเรียว่า ¡®ถ้าพระเจ้าทรงโปรดนำข้าพระองค์มายังกรุงเยรูซาเล็มจริงแล้ว ข้าพระองค์จะถวายนมัสการพระเจ้า¡¯ ¡± 9 พระราชาตรัสตอบท่านว่า ¡°จงไปเป็นสุขเถิด¡± ท่านก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเฮโบรน 10 แต่อับซาโลมได้ส่งผู้สื่อสารไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่าว่า ¡°ท่านทั้งหลายได้ยินเสียงเขาสัตว์เมื่อไร จงกล่าวกันว่า ¡®อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่กรุงเฮโบรน¡¯ ¡± 11 มีชายสองร้อยคนไปกับอับซาโลมจากกรุงเยรูซาเล็ม เป็นคนที่ถูกเชิญให้ไป คนเหล่านี้ก็ไปกันเฉยๆ หาทราบเรื่องอะไรไม่ 12 ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่ ท่านส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ที่ปรึกษาของดาวิดมาจากนครของเขา คือกิโลห์ การที่คบคิดกันนั้นก็เพิ่มกำลังขึ้น คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


3. การหนีภัยของดาวิด 15:13-16:14
a. การออกจากเยรูซาเล็มของดาวิด 15:13-23
13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า ¡°ใจของคนอิสราเอล ได้คล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว¡± 14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า ¡°จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ¡± 15 ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระราชาว่า ¡°ดูเถิด ข้าพระบาทพร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ¡± 16 พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนในราชสำนักของพระองค์ด้วยเว้นแต่นางสนมสิบคนได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง 17 พระราชาก็เสด็จออกไป พลทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ไปและเสด็จประทับที่บ้านสุดท้าย 18 บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลท กับคนกัทหกร้อยคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านพระราชาไป
19 พระราชาจึงตรัสสั่งอิททัยคนกัทว่า ¡°ทำไมเจ้าจึงไปกับเราด้วย กลับเถิดไปอยู่กับพระราชา เจ้าเป็นแต่คนต่างด้าว และถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของเจ้าเถิด 20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ และวันนี้ควรที่เราจะให้เจ้าไปมากับเราหรือ ด้วยเราไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน จงกลับไปเถิด พาพี่น้องของเจ้าไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงมีกับเจ้าเถิด¡± 21 แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ข้าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย¡± 22 ดาวิดก็รับสั่งกับอิททัยว่า ¡°จงผ่านไปเถิด¡± อิททัยชาวเมืองกัทจึงผ่านไปพร้อมกับบรรดาพรรคพวกของเขาทั้งผู้ใหญ่และเด็ก 23 เมื่อพลเดินผ่านไปเสีย ชาวเมืองนั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง พระราชาก็เสด็จข้ามลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร

b. การวางหีบพันธสัญญาที่เยรูซาเล็ม 24-37
24 และนี่แน่ะศาโดกก็มาด้วยพร้อมกับคนเลวีทั้งสิ้น หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามา และเขาวางหีบของพระเจ้าลง ฝ่ายอาบียาธาร์ก็ขึ้นมาจนประชาชนออกจากเมืองไปหมด 25 แล้วพระราชาตรัสสั่งศาโดกว่า ¡°จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย 26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า ¡®เราไม่พอใจเจ้า¡¯ ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระองค์ทรงโปรดเห็นชอบเถิด¡± 27 พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า ¡°ท่านเป็นผู้พยากรณ์หรือ จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพพร้อมกับบุตรชายทั้งสองของท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ 28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่านให้เราทราบ¡± 29 ฝ่ายศาโดกกับอาบียาธาร์จึงหามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่น
30 ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลางมีผ้าคลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินไปพลางร้องไห้พลาง 31 มีคนมากราบทูลดาวิดว่า ¡°อาหิโธเฟลอยู่ในพวกคิดกบฏของอับซาโลมด้วย¡± ดาวิดกราบทูลว่า ¡°ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป¡±
32 อยู่มาเมื่อดาวิดมาถึงยอดซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า ดูเถิด หุชัยตระกูลอารคีได้เข้ามาเฝ้า มีเสื้อผ้าฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะ 33 ดาวิดตรัสกับเขาว่า ¡°ถ้าเจ้าไปกับเราเจ้าจะเป็นภาระแก่เรา 34 แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมืองและกล่าวกับอับซาโลมว่า ¡®ข้าแต่พระราชา ข้าพระบาทขอถวายตัวเป็นข้าของฝ่าพระบาท ดังที่ข้าพระบาทเป็นข้าของพระราชบิดาของฝ่าพระบาทมาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระบาทขอเป็นข้าของฝ่าพระบาทฉันนั้น¡¯ แล้วเจ้าจะกระทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ไป เพื่อเห็นแก่เรา 35 ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิตก็อยู่กับเจ้าที่นั่นมิใช่หรือ สิ่งใดที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง จงบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์ทราบ 36 ดูเถิด บุตรสองคนของเขาก็อยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรศาโดก และโยนาธานบุตรอาบียาธาร์ ดังนั้นเมื่อท่านได้ยินเรื่องอะไรจงใช้เขามาบอกเราทุกเรื่องเถิด¡± 37 หุชัยสหายของดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมกำลังเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

c. การต้อนรับศิบา และ การแช่งของเศรุยาห์ 16:1-14
1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกหนึ่งร้อย กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 2 พระราชาตรัสกับศิบาว่า ¡°เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม¡± ศิบาทูลตอบว่า ¡°ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรง ขนมปังและผลไม้ฤดูร้อนสำหรับชายฉกรรจ์รับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยอยู่กลางถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม¡± 3 พระราชาตรัสว่า ¡°บุตรเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า¡± ศิบากราบทูลพระราชาว่า ¡°ดูเถิด ท่านพักอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านว่า ¡®วันนี้พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักรบิดาของเราให้แก่เรา¡¯ ¡± 4 แล้วพระราชาตรัสกับศิบาว่า ¡°ดูเถิด บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า¡± และศิบากราบทูลว่า ¡°ข้าพระบาทขอกราบถวายบังคมข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาท¡±
5 เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล ชื่อชิเมอีบุตรเก-รา เขาออกมาเดินพลางด่าพลาง 6 และเอาหินขว้างดาวิดและขว้างบรรดาข้าราชการของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์ 7 ชิเมอีร้องด่ามาว่า ¡°เจ้าคนกระหายโลหิต เจ้าคนถ่อย จงไปเสียให้พ้น 8 พระเจ้าได้ทรงสนองเจ้าในเรื่องโลหิตแห่งพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าเข้าครองแทนอยู่นั้น และพระเจ้าทรงมอบราชอาณาจักรไว้ในมืออับซาโลมบุตรของเจ้า ดูซิ ความพินาศตกอยู่บนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต¡±
9 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงกราบทูลพระราชาว่า ¡°ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาด่าพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขออนุญาตให้ข้าพระบาทข้ามไปตัดหัวมันออกเสีย¡± 10 แต่พระราชาตรัสว่า ¡°บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้าถ้าเขาด่าเพราะพระเจ้าตรัสสั่งเขาว่า ¡®จงด่าดาวิด¡¯ แล้วใครจะพูดว่า ¡®ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนี้¡¯ ¡± 11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า ¡°ดูเถิด ลูกของเราเองยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิดให้เขาด่าไป เพราะพระเจ้าทรงบอกเขาแล้ว 12 บางทีพระเจ้าจะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระองค์จะทรงสนองเราด้วยความดีเพราะเขาด่าเราในวันนี้¡± 13 ดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทางพร้อมกับพลของพระองค์ ฝ่ายชิเมอีก็เดินไปตามเนินเขาตรงข้าม เขาเดินพลางด่าพลาง เอาก้อนหินปาและเอาฝุ่นซัดใส่ 14 พระราชากับพลทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็มาถึงแม่น้ำจอร์แดนด้วยความเหนื่อยอ่อน จึงทรงพักผ่อนเอาแรง ณ ที่นั่น


4. กลยุทธของอับซาโลม 16:15-17:29
a. การเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มของอับซาโลม 16:15-23
15 ฝ่ายอับซาโลมกับประชาชนทั้งสิ้น คือคนอิสราเอลก็มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม และอาหิโธเฟลก็มาด้วย 16 และอยู่มาเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดเข้าเฝ้าอับซาโลม หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า ¡°ขอทรงพระเจริญ ขอพระราชาทรงพระเจริญ¡± 17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า ¡°นี่หรือความจงรักภักดีต่อสหายของท่าน ทำไมท่านไม่ไปกับสหายของท่านเล่า¡± 18 หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า ¡°มิใช่พ่ะย่ะค่ะ พระเจ้ากับประชาชนเหล่านี้กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นเลือกตั้งผู้ใดไว้ ข้าพระบาทขอเป็นฝ่ายผู้นั้น ข้าพระบาทจะขออยู่กับผู้นั้น 19 อีกประการหนึ่ง ข้าพระบาทควรจะปรนนิบัติผู้ใด มิใช่โอรสของท่านผู้นั้นดอกหรือ ข้าพระบาทได้ปรนนิบัติเสด็จพ่อของฝ่าพระบาทมาแล้วฉันใด ก็ขอปรนนิบัติฝ่าพระบาทฉันนั้น¡±
20 อับซาโลมตรัสถามอาหิโธเฟลว่า ¡°เราจะทำอย่างไรดี จงให้คำปรึกษาของท่าน¡± 21 อาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า ¡°จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ซึ่งเสด็จพ่อทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าฝ่าพระบาทได้กระทำให้ตนเป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทก็จะเข้มแข็งขึ้น¡± 22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลมก็ทรงเข้าหานางสนมของพระราชบิดาของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือคำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก

b. เล่ห์กระเท่ห์ของอาหิโธเฟลหุซัย 17:1-23
1 และอาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า ¡°ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระบาทเลือกทหารหนึ่งหมื่นสองพันคน ข้าพระบาทจะยกออกไปติดตามดาวิดคืนวันนี้ 2 ข้าพระบาทจะไปทันท่านเมื่อท่านยังเหนื่อยอ่อนอยู่และท้อถอย กระทำให้ท่านกลัวตัวสั่น พลทั้งปวงที่อยู่กับท่านก็จะหนีไป ข้าพระบาทจะฆ่าฟันแต่กษัตริย์ 3 แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้นกลับมาเข้าฝ่ายฝ่าพระบาท เมื่อได้คนที่ฝ่าพระบาทมุ่งหาคนเดียว ก็เหมือนได้ประชาชนกลับมาทั้งหมดแล้วประชาชนทั้งปวงก็จะอยู่เป็นผาสุก¡± 4 คำทูลนี้เป็นที่พอพระทัยอับซาโลม และบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลก็พอใจด้วย
5 อับซาโลมตรัสว่า ¡°จงเรียกหุชัยคนอารคีเข้ามา เพื่อเราจะฟังเขาจะว่าอย่างไรด้วย¡± 6 เมื่อหุชัยเข้ามาเฝ้าอับซาโลมแล้ว อับซาโลมจึงตรัสถามเขาว่า ¡°อาหิโธเฟลว่าอย่างนี้แล้ว เราควรจะทำตามคำแนะนำของเขาหรือไม่ ถ้าไม่ ท่านจงพูดมา¡± 7 หุชัยจึงกราบทูลอับซาโลมว่า ¡°คำปรึกษาซึ่งอาหิโธเฟลให้ในครั้งนี้ไม่ดี¡± 8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า ¡°ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าเสด็จพ่อและคนที่อยู่ด้วย เป็นทหารแข็งกล้าและเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมีที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก พระองค์คงไม่ทรงพักอยู่กับพวกพล 9 ดูเถิด ถึงขณะนี้พระองค์ก็ทรงซ่อนอยู่ในบ่อแห่งหนึ่ง หรือในที่หนึ่งที่ใดแล้วเมื่อมีคนล้มตายในการสู้รบครั้งแรกใครที่ทราบเรื่องก็จะกล่าวว่า ¡®ทหารที่ติดตามอับซาโลมถูกฆ่าฟัน¡¯ 10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงห์ก็จะกลัวลาน เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่าเสด็จพ่อของฝ่าพระบาทเป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า 11 แต่คำปรึกษาของข้าพระบาทมีว่า ขอฝ่าพระบาทรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งทรายที่ทะเล แล้วฝ่าพระบาทก็เสด็จคุมทัพไปเอง 12 เราทั้งหลายจะเข้ารบกับเขา ณ ที่หนึ่งที่ใดที่พบกัน และเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกใส่พื้นดิน ตัวเขาและคนที่อยู่กับเขาก็จะไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง 13 ถ้าเขาจะถอยร่นเข้าไปในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลงไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น¡± 14 อับซาโลมและคนอิสราเอลทั้งปวงว่า ¡°คำปรึกษาของหุชัยคนอารคีดีกว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟล¡± เพราะพระเจ้าทรงสถาปนาที่จะให้คำปรึกษาอันดีของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ เพื่อพระเจ้าจะทรงนำเหตุร้ายมายังอับซาโลม
15 แล้วหุชัยจึงบอกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า ¡°อาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้แก่อับซาโลม และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลและข้าพเจ้าได้ให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้ 16 จงรีบส่งคนไปกราบทูลดาวิดว่า ¡®คืนวันนี้อย่าพักอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร อย่างไรก็จงให้เสด็จข้ามไปเสียเกรงว่าพระราชาและประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ จะถูกกลืนไปหมด¡¯ ¡±
17 ฝ่ายโยนาธานและอาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกลแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งเคยไปบอกเรื่องแก่เขา แล้วเขาก็ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เพราะเขาไม่กล้าเข้ากรุงให้ใครเห็น 18 แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นเขาทั้งสอง จึงไปทูลอับซาโลม เขาทั้งสองก็รีบไปโดยเร็วจนถึงบ้านชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เขาทั้งสองจึงลงไปอยู่ในบ่อนั้น 19 หญิงแม่บ้านก็เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ แล้วก็เกลี่ยปลายข้าวตากอยู่บนนั้นไม่มีใครทราบเรื่องเลย 20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้ เขาก็ถามว่า ¡°อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน¡± หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า ¡°เขาข้ามลำธารน้ำไปแล้ว¡± เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
21 เมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า ¡°ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไปเพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้¡± 22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้น พร้อมกับพวกพลที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
23 เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าเขาไม่กระทำตามคำปรึกษาของท่าน ก็ผูกอานลาขึ้นขี่กลับไปเรือนของตนที่อยู่ในเมืองของตน เมื่อสั่งเสียเสร็จแล้วก็ผูกคอตาย เขาจึงเอาศพฝังไว้ที่อุโมงค์บิดาของท่าน

c. ถึงมาหะนาอิมของดาวิด 17:24-29
24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอล 25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรของชายคนหนึ่งชื่ออิธราคนอิสราเอล ได้แต่งงานกับอาบีกัลบุตรีของนาหาชน้องสาวของนางเศรุยาห์มารดาของโยอาบ 26 ฝ่ายคนอิสราเอลและอับซาโลม ตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด
27 เมื่อดาวิดเสด็จมาถึงมาหะนาอิม โชบีบุตรนาหาชชาวเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม 28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่องภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบารลี และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง 29 น้ำผึ้ง เนย แกะ และเนยแข็งที่ได้มาจากฝูงสัตว์ถวายแด่ดาวิด และให้พวกพลที่อยู่กับพระองค์รับประทาน เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า ¡°พวกพลหิวและอ่อนเพลีย และกระหายอยู่ที่ในถิ่นทุรกันดาร¡±

5. การถูกฆ่าตายของอับซาโลม 18:
a. การถูกฆ่าตายของอับซาโลม 1-18
1 ดาวิดจึงตรวจพลที่อยู่กับพระองค์ และทรงจัดตั้งนายพันนายร้อยให้ควบคุม 2 และดาวิดทรงจัดทัพออกไป ให้อยู่ในบังคับบัญชาของโยอาบหนึ่งในสาม และในบังคับของอาบีชัยน้องชายของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์หนึ่งในสาม และอีกหนึ่งในสามอยู่ในบังคับบัญชาของอิททัยคนกัท และพระราชาตรัสกับพวกพลว่า ¡°เราจะไปกับท่านทั้งหลายด้วย¡± 3 แต่พวกพลเหล่านั้นทูลว่า ¡°ขอฝ่าพระบาทอย่าเสด็จเลย ถ้าข้าพระบาททั้งหลายจะหนีไป เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรหนักหนา ถ้าข้าพระบาททั้งหลายตายเสียสักครึ่งหนึ่ง เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรแต่ฝ่าพระบาทมีค่าเท่ากับพวกข้าพระบาทหนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทพร้อมที่จะส่งกองหนุนจากในเมืองจะดีกว่า¡± 4 พระราชาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า ¡°ท่านทั้งหลายเห็นชอบอย่างไร เราจะกระทำตาม¡± พระราชาจึงทรงประทับที่ข้างประตูเมือง และบรรดาพลทั้งหลายเดินออกไปเป็นกองร้อยกองพัน 5 พระราชารับสั่งโยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า ¡°เบาๆ มือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิด คือกับอับซาโลม¡± พวกพลก็ได้ยินคำรับสั่งซึ่งพระราชาประทานแก่ผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องอับซาโลม
6 พวกพลจึงเคลื่อนออกไปเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล การสงครามนั้นทำกันในป่าเอฟราอิม 7 คนอิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่ข้าราชการของดาวิด มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักที่นั่น ทหารตายเสียสองหมื่นคนในวันนั้น 8 การสงครามกระจายไปทั่วแผ่นดิน ในวันนั้นป่ากินคนเสียมากกว่าดาบกิน
9 เผอิญอับซาโลมไปพบข้าราชการของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่งต้นก่อหลวงใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นก่อแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน 10 มีชายคนหนึ่งมาเห็นเข้า จึงไปเรียนโยอาบว่า ¡°ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมแขวนอยู่ที่ต้นก่อหลวง¡± 11 โยอาบก็พูดกับชายที่บอกท่านว่า ¡°อะไรนะ เจ้าเห็นเขาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ฟันให้ตกดินเสียทีเดียวเล่า เราก็จะยินดีที่จะรางวัลเงินสิบเหรียญกับสายรัดเอวเส้นหนึ่งให้เจ้า¡± 12 แต่ชายคนนั้นเรียนโยอาบว่า ¡°ถึงมือของข้าพเจ้าอุ้มเงินพันเหรียญอยู่ ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำแก่ราชบุตร เพราะว่าหูของพวกเราได้ยินพระบัญชาของพระราชา ที่ตรัสสั่งท่านและอาบีชัยกับอิททัยว่า ¡®เพื่อเห็นแก่เราขอจงป้องกันอับซาโลมชายหนุ่มนั้น¡¯ 13 แต่ถ้าข้าพเจ้าประทุษร้ายต่อชีวิตของเขา (และไม่มีอะไรจะปิดบังให้พ้นพระราชาได้) แล้วตัวท่านเองก็คงใส่โทษข้าพเจ้าด้วย¡± 14 โยอาบจึงว่า ¡°เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้¡± ท่านก็หยิบหลาวสามอันแทงเข้าไปที่หัวใจของอับซาโลม ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่ในต้นก่อหลวง 15 ทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบ ก็ล้อมอับซาโลมไว้ แล้วประหารชีวิตท่านเสีย
16 โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ และกองทัพก็กลับจากการไล่ตามอิสราเอลเพราะโยอาบยับยั้งเขาทั้งหลายไว้ 17 เขาก็ยกศพอับซาโลมโยนลงไปในบ่อใหญ่ซึ่งอยู่ในป่า เอาหินกองทับไว้เป็นกองใหญ่มหึมา คนอิสราเอลทั้งสิ้นต่างก็หนีกลับไปบ้านเรือนของตน 18 เมื่ออับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ ได้ตั้งเสาไว้เป็นอนุสรณ์ที่หุบเขาหลวง เพราะท่านกล่าวว่า ¡°เราไม่มีบุตรชายที่จะสืบชื่อของเรา¡± ท่านเรียกเสานั้นตามชื่อของตน เขาเรียกกันว่าอนุสรณ์อับซาโลมจนทุกวันนี้


b. ผู้ส่งข่าวในการเอาชนะอับซาโลม 19-33
19 อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวว่า ¡°ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปทูลพระราชาว่า พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์แล้ว¡± 20 โยอาบก็ตอบเขาว่า ¡°ท่านอย่านำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด แต่วันนี้ท่านอย่านำข่าวเลย เพราะว่าโอรสสิ้นชีพแล้ว¡± 21 โยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า ¡°จงนำข่าวไปกราบทูลพระราชา ตามสิ่งที่ท่านได้เห็น¡± ชาวคูชคนนั้นก็กราบลงคำนับโยอาบ แล้วก็วิ่งไป 22 อาหิมาอัสบุตรศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า ¡°จะอย่างไรก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย¡± โยอาบตอบว่า ¡°ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไม ด้วยว่าการส่งข่าวนี้จะไม่มีรางวัลให้แก่เจ้า¡± 23 เขาตอบว่า ¡°จะอย่างไรก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะขอวิ่งไป¡± โยอาบจึงบอกเขาว่า ¡°วิ่งไปเถอะ¡± และอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบขึ้นหน้าชาวคูชนั้นไป
24 ฝ่ายดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพงเมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง 25 ทหารยามคนนั้นก็ร้องกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสว่า ¡°ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา¡± ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้ 26 ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้องบอกไปที่นายประตูเมืองว่า ¡°ดูซี มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง¡± พระราชาตรัสว่า ¡°เขาคงนำข่าวมาด้วย¡± 27 ทหารยามนั้นกราบทูลว่า ¡°ข้าพระบาทคิดว่าคนที่วิ่งมาก่อนวิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรศาโดก¡± และพระราชาตรัสว่า ¡°เขาเป็นคนดี เขามาด้วยข่าวดี¡±
28 แล้วอาหิมาอัสร้องทูลพระราชาว่า ¡°สวัสดี พ่ะย่ะค่ะ¡± เขาก็กราบพระราชาซบหน้าลงถึงพื้นดินกราบทูลว่า ¡°สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท พระองค์ได้ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของเขาต่อสู้กับพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทแล้ว¡± 29 พระราชาตรัสถามว่า ¡°อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสวัสดีอยู่หรือ¡± อาหิมาอัสทูลตอบว่า ¡°เมื่อโยอาบใช้ให้ข้าพระบาทมานั้น ข้าพระบาทเห็นผู้คนสับสนกันใหญ่ แต่ไม่ทราบเหตุ¡± 30 พระราชาตรัสว่า ¡°จงหลีกมายืนตรงนี้¡± เขาจึงหลีกไปยืนนิ่งอยู่
31 ดูเถิด ชาวคูชนั้นก็มาถึง ชาวคูชนั้นกราบทูลว่า ¡°มีข่าวดีถวายแด่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงช่วยกู้ฝ่าพระบาทให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ฝ่าพระบาท¡± 32 พระราชาตรัสถามชาวคูชนั้นว่า ¡°อับซาโลมชายหนุ่มนั้นเป็นสุขอยู่หรือ¡± ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า ¡°ขอให้ศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และผู้ที่ลุกขึ้นกระทำอันตรายต่อฝ่าพระบาทเป็นเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นเถิด¡± 33 พระราชาทรงโทมนัสนัก เสด็จขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตู และกันแสง เมื่อเสด็จไปพระองค์ตรัสว่า ¡°โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเราเอ๋ย¡±


E. การกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 19:-20:
1. การกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 19:
a. การเสนอกับดาวิดของโยอับ 1-8
1 เขาไปเรียนโยอาบว่า ¡°ดูเถิด พระราชากันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม¡± 2 เพราะฉะนั้นชัยชนะในวันนั้นก็กลายเป็นการไว้ทุกข์ของประชาชนทั้งหลาย เพราะในวันนั้นประชาชนได้ยินว่า ¡°พระราชาทรงโทมนัสเพราะพระราชบุตรของพระองค์¡± 3 ในวันนั้นประชาชนได้แอบเข้ามาในเมืองอย่างกับคนหนีศึก แล้วอายแอบเข้ามา 4 พระราชาทรงคลุมพระพักตร์กันแสงเสียงดังว่า ¡°โอ อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา¡± 5 โยอาบก็เข้ามาในพระราชวังทูลว่า ¡°วันนี้ฝ่าพระบาทได้ทรงกระทำให้ข้าราชการทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของฝ่าพระบาท ทั้งราชบุตรและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสีและสนมทั้งหลายของฝ่าพระบาทให้เขาได้รับความละอาย 6 เพราะว่าฝ่าพระบาททรงรักผู้ที่เกลียดชังฝ่าพระบาท และทรงเกลียดชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท เพราะในวันนี้ ฝ่าพระบาทได้กระทำให้ประจักษ์แล้วว่า ฝ่าพระบาทไม่ไยดีต่อนายทหารและบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ในวันนี้ข้าพระบาททราบว่า ถ้าในวันนี้อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และข้าพระบาททั้งหลายก็ตายสิ้น ฝ่าพระบาทก็จะพอพระทัย 7 ขอฝ่าพระบาททรงลุกขึ้น ณ บัดนี้ขอเสด็จออกไปตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระบาทได้ปฏิญาณในพระนามพระเจ้าว่า ถ้าฝ่าพระบาทไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่กับฝ่าพระบาทในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆ ทั้งสิ้น ซึ่งบังเกิดแก่ฝ่าพระบาทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้¡± 8 พระราชาก็ทรงลุกขึ้นประทับที่ประตูเมือง เขาไปบอกประชาชนว่า ¡°ดูเถิด พระราชาประทับอยู่ที่ประตูเมือง¡± ประชาชนทั้งหลายก็มาเฝ้าพระราชา

b. การปรึกษาเกี่ยวกับการกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 9-15
ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยังบ้านเรือนของตนหมดแล้ว 9 ประชาชนทั้งสิ้นก็หมางใจกันไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า ¡°พระราชาเคยทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากมือศัตรูของเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย บัดนี้พระองค์ทรงหนีอับซาโลมออกจากแผ่นดิน 10 แต่อับซาโลมผู้ที่เราเจิมตั้งไว้เหนือเรานั้นก็สิ้นชีวิตเสียแล้วในสงคราม ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะเชิญพระราชาให้เสด็จกลับ¡±
11 กษัตริย์ดาวิดทรงใช้คนไปหาศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิต รับสั่งว่า ¡°ขอบอกพวกผู้ใหญ่ของคนยูดาห์ว่า ¡®ทำไมท่านทั้งหลายจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญพระราชากลับพระราชวังของพระองค์ เมื่อถ้อยคำเหล่านี้มาจากอิสราเอลถึงพระราชา ที่จะเชิญพระองค์ให้กลับพระราชวังของพระองค์ 12 ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา เป็นกระดูกและเนื้อหนังของเรา ทำไมท่านจึงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญพระราชากลับ¡¯ 13 และจงบอกอามาสาว่า ¡®ท่านมิได้เป็นกระดูกและเนื้อหนังของเราหรือ ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพแทนโยอาบสืบต่อไป ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และยิ่งหนักกว่านั้นอีก¡¯ ¡± 14 ท่านก็ได้ชักจูงจิตใจของบรรดาคนยูดาห์ดังกับเป็นจิตใจของชายคนเดียว เขาจึงส่งคนไปทูลพระราชาว่า ¡°ขอฝ่าพระบาทเสด็จกลับพร้อมกับบรรดาข้าราชการทั้งหลายด้วย¡± 15 พระราชาก็เสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จพระราชาและนำเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน

c. ผู้ที่ต้อนรับดาวิด 16-39
16 ชิเมอี บุตรเก-รา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 มีคนจากเผ่าเบนยามินพร้อมกับท่านหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตรสิบห้าคนกับคนใช้อีกยี่สิบ ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์พระราชา 18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของพระราชา และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอีบุตรเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์พระราชาขณะที่พระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน 19 กราบทูลพระราชาว่า ¡°ขอเจ้านายของข้าพระบาทอย่าทรงถือโทษข้าพระบาท และทรงจดจำความผิดที่ข้าพระบาทได้กระทำในวันที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทสละกรุงเยรูซาเล็ม ขอพระราชาอย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย 20 ด้วยข้าพระบาทได้ทราบแล้วว่าได้กระทำบาป เพราะฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ข้าพระบาทได้มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟ ที่ลงมารับเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท¡± 21 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงตอบว่า ¡°ที่ชิเมอีกระทำเช่นนี้ไม่ควรจะถึงที่ตายดอกหรือ เพราะเขาได้ด่าผู้ที่เจิมตั้งของพระเจ้า¡± 22 แต่ดาวิดตรัสว่า ¡°บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับท่าน ซึ่งในวันนี้ท่านจะมาเป็นปฏิปักษ์กับเรา ในวันนี้น่ะควรที่จะให้ใครมีโทษถึงตาย หรือในวันนี้เราไม่ทราบดอกหรือว่า เราเป็นกษัตริย์ครอบครองอิสราเอล¡± 23 และพระราชาตรัสกับชิเมอีว่า ¡°เจ้าจะไม่ถึงตาย¡± แล้วพระราชาก็ประทานคำปฏิญาณแก่เขา
24 เมฟีโบเชท โอรสซาอูลก็ลงมารับเสด็จ โดยมิได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่พระราชาเสด็จจากไปจนวันที่เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ 25 เมื่อเมฟีโบเชทมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะรับเสด็จพระราชาตรัสถามว่า ¡°เมฟีโบเชททำไมท่านมิได้ไปกับเรา¡± 26 ท่านทูลตอบว่า ¡°ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท มหาดเล็กของข้าพระบาทหลอกลวงข้าพระบาท เพราะข้าพระบาทบอกเขาว่า ¡®ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จพระราชา¡¯ เพราะว่าข้าพระบาทเป็นง่อย 27 เขากลับไปทูลพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทใส่ร้ายข้าพระบาท แต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเหมือนทูตของพระเจ้า เมื่อฝ่าพระบาททรงเห็นสมควรจะกระทำแก่ข้าพระบาทประการใด ก็ขอทรงกระทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ 28 เพราะว่าเชื้อวงศ์ราชบิดาของข้าพระบาทก็สมควรถึงตาย ต่อพระพักตร์พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท แต่ฝ่าพระบาทก็ทรงแต่งตั้งข้าพระบาทไว้ในหมู่ผู้ที่รับประทานร่วมโต๊ะเสวยของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทจะมีสิทธิประการใดเล่าที่จะร้องทูลอีกต่อพระราชา¡± 29 พระราชาจึงตรัสกับท่านว่า ¡°ท่านจะพูดเรื่องธุรกิจของท่านต่อไปทำไม เราตัดสินใจว่า ท่านกับศิบาจงแบ่งที่ดินกัน¡± 30 เมฟีโบเชทกราบทูลพระราชาว่า ¡°เมื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทได้เสด็จกลับสู่พระราชสำนักโดยสวัสดิภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบารับไปหมดเถิดพ่ะย่ะค่ะ¡±
31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับพระราชาถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป 32 บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี ท่านได้นำเสบียงอาหารมาถวายพระราชาขณะพระองค์ประทับที่มาหะนาอิมเพราะท่านเป็นคนมั่งมีมาก 33 พระราชาจึงตรัสกับบารซิลลัยว่า ¡°ข้ามมาอยู่กับเราเสียเถิด เราจะชุบเลี้ยงท่านให้อยู่กับเราที่กรุงเยรูซาเล็ม¡± 34 แต่บารซิลลัยทูลพระราชาว่า ¡°ข้าพระบาทจะอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี ที่ข้าพระบาทจะไปอยู่กับพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม 35 วันนี้ข้าพระบาทมีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระบาทจะสังเกตว่าอะไรเป็นที่พอใจและไม่พอใจได้หรือ ข้าพระบาทจะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ ข้าพระบาทจะฟังเสียงชายหญิงร้องเพลงได้หรือ ทำไมจะให้ข้าพระบาทเป็นภาระเพิ่มแก่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทอีกเล่า 36 ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระราชาข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเท่านั้น ไฉนพระราชาจะพระราชทานรางวัลเช่นนี้เล่า 37 ขอให้ข้าพระบาทกลับเพื่อไปตายที่ในเมืองของข้าพระบาท ใกล้ที่ฝังศพของบิดามารดาของข้าพระบาท ขอทรงโปรดให้คิมฮามข้าของฝ่าพระบาทตามเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทไป ฝ่าพระบาทจะโปรดเขาประการใดก็แล้วแต่ทรงเห็นควร¡± 38 พระราชาตรัสตอบว่า ¡°คิมฮามจงข้ามไปกับเรา เราจะกระทำคุณแก่เขาตามที่ท่านเห็นควร สิ่งใดที่ท่านปรารถนาให้เรากระทำแก่ท่านเรายินดีกระทำตาม¡± 39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พระราชาเสด็จข้ามไป พระราชาทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
d. ความไม่ปรองดองกันระหว่างอิสราเอลและยูดาห์ 40-43
40 พระราชาเสด็จไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามเสด็จไปด้วย ประชาชนยูดาห์ทั้งหมดกับประชาชนอิสราเอลครึ่งหนึ่งได้นำพระราชาข้ามมา
41 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้าพระราชา กราบทูลพระราชาว่า ¡°ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงได้ลักพาฝ่าพระบาทไปเสีย พาพระราชาและราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับคนของดาวิดด้วย¡± 42 ประชาชนยูดาห์จึงตอบประชาชนอิสราเอลว่า ¡°เพราะพระราชาเป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้ทำไมเล่า เราได้อยู่กินสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ของพระราชาหรือ พระองค์ได้ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ¡± 43 คนอิสราเอลก็ตอบคนยูดาห์ว่า ¡°เรามีส่วนในพระราชาสิบส่วนและในดาวิดเราก็มีมากกว่าท่าน ทำไมท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้เล่า เราไม่ได้เป็นพวกแรกที่พูดเรื่องการนำพระราชากลับดอกหรือ¡± แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล


2. ความสงบสุขของประเทศอิสราเอล 20:
a. กบฏของเศบา และ การกลับกรุงเยรูซาเล็มของดาวิด 1-3
1 เผอิญที่นั่นมีคนอันธพาลอยู่คนหนึ่งชื่อเชบาบุตรบิครีคนเบนยามิน เขาได้เป่าเขาสัตว์ขึ้นกล่าวว่า
¡°เราไม่มีส่วนในดาวิด
เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี
โอ อิสราเอลเอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด¡±
2 ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงถอนตัวจากดาวิด และไปตามเชบาบุตรบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตามพระราชาของเขาอย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดนไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม
3 ดาวิดเสด็จกลับพระนิเวศที่กรุงเยรูซาเล็ม พระราชาก็รับสั่งให้นำนางสนมทั้งสิบคน ที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวังนั้นไปรวมกักอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ทรงชุบเลี้ยงไว้แต่มิได้ทรงสมสู่อยู่ด้วย นางเหล่านั้นก็ต้องถูกกักให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนวันตาย


b. ความตายของอามาสา 4-13
4 พระราชาตรัสสั่งอามาสาว่า ¡°จงระดมพลยูดาห์ให้มาพร้อมกันที่นี่ภายในสามวัน ตัวท่านจงมาด้วย¡± 5 อามาสาก็ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาก็ทำงานล่าช้าเกินกำหนดที่พระองค์รับสั่งไว้ 6 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า ¡°บัดนี้เชบาบุตรบิครีคงทำอันตรายแก่เรายิ่งกว่าอับซาโลม จงนำข้าราชการทหารของเจ้านายของท่านไปติดตาม เกรงว่าเขาจะหาเมืองที่มีป้อมได้ และหนีพ้นสายตาเรา¡± 7 มีคนของโยอาบตามเขาไปและคนเคเรธีกับคนเปเลทกับทหารที่แข็งกล้าทั้งหมด และเขาทั้งหลายยกออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไล่ตามเชบาบุตรบิครี 8 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงศิลาใหญ่ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบกับเขาทั้งหลาย ฝ่ายโยอาบสวมเครื่องแต่งกายทหารมีเข็มขัดติดดาบที่อยู่ในฝักคาดอยู่ที่บั้นเอว เมื่อท่านเดินไปดาบก็ตกลง 9 โยอาบจึงถามอามาสาว่า ¡°พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ¡± และโยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาจะจุบเขา 10 แต่อามาสาไม่ได้สังเกตเห็นดาบซึ่งอยู่ในมือของโยอาบ โยอาบจึงเอาดาบแทงท้องอามาสาไส้ทะลักถึงดิน ไม่ต้องแทงครั้งที่สอง เขาก็ตายเสียแล้ว
แล้วโยอาบกับอาบีชัยน้องชายก็ไล่ตามเชบาบุตรบิครีไป 11 ทหารหนุ่มคนหนึ่งของโยอาบมายืนอยู่ใกล้อามาสาพูดว่า ¡°ผู้ใดเห็นชอบฝ่ายโยอาบและผู้ใดอยู่ฝ่ายดาวิดให้ผู้นั้นติดตามโยอาบไป¡± 12 อามาสาก็นอนเกลือกโลหิตของตัวอยู่ที่ในทางหลวง เมื่อชายคนนั้นเห็นประชาชนทั้งสิ้นมาหยุดอยู่ เขาก็นำศพอามาสาไปทิ้งในทุ่งนาและเอาเสื้อผ้าปิดไว้ เพราะเมื่อใครมาก็เข้าไปดูและหยุดอยู่ 13 เมื่อเอาศพอามาสาออกจากทางหลวงแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็ตามโยอาบเพื่อติดตามเชบาบุตรบิครี
c. ควบคุ่มสถานการณ์ของเศบากบฏ 14-26
14 เชบาก็ผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่าไปจนถึงตำบลอาเบล และเมืองเบธมาอาคาห์ และคนตระกูลเบเคอร์คนเหล่านั้นก็มารวมกันและติดตามเขาไป 15 ประชาชนที่อยู่กับโยอาบก็มาถึงและล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบลแขวงเมืองเบธมาอาคาห์ เขาทำเชิงเทินขึ้นที่ริมกำแพงเมือง เขาก็ทะลวงกำแพงเพื่อจะให้พัง 16 มีหญิงฉลาดคนหนึ่งร้องออกมาจากในเมืองว่า ¡°ขอฟังหน่อย ขอฟังหน่อย ขอบอกโยอาบให้มาที่นี่ ฉันอยากจะพูดด้วย¡± 17 โยอาบก็เข้ามาใกล้หญิงนั้น นางนั้นก็พูดว่า ¡°ท่านคือโยอาบหรือ¡± เขาตอบว่า ¡°ใช่แล้ว¡± นางจึงเรียนท่านว่า ¡°ขอท่านฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่านสักหน่อย¡± ท่านก็ตอบว่า ¡°ฉันกำลังฟังอยู่แล้ว¡± 18 นางก็พูดว่า ¡°สมัยโบราณเขาพูดกันว่า ¡®ให้เขาขอคำปรึกษาที่อาเบลเถิด¡¯ แล้วเขาก็ตกลงกันได้ 19 ฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสงบและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านหาช่องที่จะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ในอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระเจ้าเสีย¡± 20 โยอาบจึงตอบว่า ¡°ซึ่งฉันจะกลืนหรือทำลายนั้น ขอให้ห่างไกลจากฉัน ขอให้ห่างไกลทีเดียว 21 เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีชายคนหนึ่งจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเชบาบุตรบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ คือต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาแต่คนเดียว ฉันจะถอยทัพกลับจากเมืองนี้¡± หญิงนั้นจึงตอบโยอาบว่า ¡°ดูเถิด เราจะโยนศีรษะของเขาข้ามกำแพงมาให้ท่าน¡± 22 แล้วหญิงนั้นก็ไปหาประชาชนด้วยปัญญาของนางเขาทั้งหลายได้ตัดศีรษะของเชบาบุตรบิครีโยนออกมาให้โยอาบ โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ ต่างก็แยกกันไปจากนครนั้นกลับไปยังบ้านเรือนของตน โยอาบก็กลับไปเฝ้าพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม
23 โยอาบเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งหมดในอิสราเอล และเบไนยาห์ บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชากองคนเคเรธีและคนเปเลท 24 และอาโดรัมดูแลคนงานโยธา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ 25 เชวาเป็นราชเลขา ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิต 26 อิราตระกูลยาอีร์เป็นปุโรหิตของดาวิดด้วย




IV เล่าเรื่องทั่วไปของดาวิด 21:-24:
A. การกันดารอาหาร 3 ปี 21:
1. การกันดารอาหาร 3 ปี 1-6
1 ในสมัยของดาวิดมีการกันดารอาหารอยู่สามปี ปีแล้วปีเล่า และดาวิดก็เข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า ¡°เพราะเขาฆ่าคนกิเบโอน ความผิดที่เขาทั้งหลายต้องตายจึงตกอยู่กับซาอูลและพงศ์พันธุ์ของเขา¡± 2 พระราชาจึงทรงเรียกคนกิเบโอนมาตรัสแก่เขา (ฝ่ายคนกิเบโอนนั้นไม่ใช่ประชาชนอิสราเอล แต่เป็นคนอาโมไรต์ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าประชาชนอิสราเอลจะได้ปฏิญาณไว้ว่าจะไว้ชีวิตเขาทั้งหลาย แต่ซาอูลก็ทรงหาช่องที่จะสังหารเขาทั้งหลายเสีย เพราะความร้อนใจที่เห็นแก่คนอิสราเอลและคนยูดาห์) 3 ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า ¡°เราจะกระทำอะไรให้แก่พวกท่านได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่มรดกของพระเจ้าได้¡± 4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า ¡°ระหว่างพวกข้าพระบาทกับซาอูลและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้นไม่ใช่เรื่องเงินหรือทอง ทั้งไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระบาทที่จะประหารชีวิตอิสราเอลคนหนึ่งคนใด¡± พระองค์จึงตรัสว่า ¡°แล้วพวกท่านจะให้เรากระทำอะไรแก่ท่านเล่า¡± 5 เขากราบทูลพระราชาว่า ¡°ชายผู้ที่เผาผลาญพวกข้าพระบาท และวางแผนการทำลายพวกข้าพระบาทเพื่อมิให้พวกข้าพระบาทมีที่อยู่ในเขตแดนอิสราเอล 6 ขอทรงมอบบุตรเจ็ดคนของเขาให้แก่พวกข้าพระบาท เพื่อพวกข้าพระบาทจะได้แขวนเขาเสียต่อพระพักตร์พระเจ้าที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้เลือกสรรของพระเจ้า¡± และพระราชาตรัสว่า ¡°เราจะจัดเขามาให้¡±


2. การมอบเชื้อสายของซาอูล 7-14
7 แต่พระราชาทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชท บุตรของโยนาธานราชโอรสของซาอูล ด้วยเหตุคำปฏิญาณระหว่างทั้งสองที่กระทำในพระนามพระเจ้า คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานราชโอรสของซาอูล 8 แต่พระราชานำเอาบุตรสองคนของนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ ซึ่งบังเกิดกับซาอูล ชื่ออารโมนีกับเมฟีโบเชท กับบุตรห้าคนของเมราบ ราชธิดาของซาอูล ซึ่งพระนางมีกับอาดรีเอลบุตรบารซิลลัยชาวเมโหลาห์ 9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน เขาทั้งหลายจึงแขวนคนทั้งเจ็ดไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า และทั้งเจ็ดคนก็พินาศไปด้วยกัน เขาถูกฆ่าตายในวันแรกของฤดูเกี่ยวข้าวในวันต้นการเกี่ยวข้าวบารลี
10 แล้วนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ก็เอาผ้ากระสอบปูไว้บนก้อนหินสำหรับตนเอง ตั้งแต่ต้นฤดูเกี่ยวจนฝนจากท้องฟ้าตกบนเขาทั้งหลาย กลางวันนางก็ไม่ยอมให้นกมาเกาะหรือกลางคืนก็ไม่ให้สัตว์ป่าทุ่งมา 11 เมื่อเขากราบทูลดาวิดว่านางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์นางสนมของซาอูลกระทำอย่างไร 12 ดาวิดก็เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและของโยนาธานราชโอรสมาจากเมืองยาเบชกิเลอาด จากผู้ที่ลักลอบเอาไปจากลานเมืองเบธชาน ที่คนฟีลิสเตียได้แขวนพระองค์ทั้งสองไว้ ในวันที่คนฟีลิสเตียประหารซาอูลบนเขากิลโบอา 13 พระองค์ทรงนำอัฐิของซาอูลและของโยนาธานราชโอรสขึ้นมาจากที่นั่น และรวบรวมกระดูกของผู้ที่ถูกแขวนไว้ให้ตายนั้น 14 และเขาก็ฝังอัฐิของซาอูลและของโยนาธานราชโอรสไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศลาในอุโมงค์ของคีชบิดาของพระองค์ เขาทั้งหลายก็กระทำตามทุกอย่างที่พระราชาทรงสั่งไว้ ครั้นต่อมาพระเจ้าก็ทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น


3. ทหารกล้าหาญของดาวิด 15-22
15 คนฟีลิสเตียได้ทำสงครามกับคนอิสราเอลอีก ดาวิดก็ลงไปพร้อมกับบรรดาข้าราชการของพระองค์ และได้สู้รบกับคนฟีลิสเตีย และดาวิดก็ทรงอ่อนเพลีย 16 อิชบีเบโนบคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ถือหอกทองสัมฤทธิ์หนักสามร้อยเชเขล มีดาบใหม่คาดเอว คิดจะสังหารดาวิดเสีย 17 แต่อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์เข้ามาช่วยพระองค์ไว้ และสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนั้นฆ่าเขาเสีย แล้วบรรดาประชาชนของดาวิดก็ทูลวิงวอนพระองค์ด้วยการสาบานว่า ¡°ขอฝ่าพระบาทอย่าเสด็จไปทำศึกพร้อมกับพวกข้าพระบาททั้งหลายอีกต่อไปเลย เกรงว่าฝ่าพระบาทจะดับประทีปของอิสราเอลเสีย¡±
18 อยู่มาภายหลังนี้ มีการรบกับคนฟีลิสเตียที่เมืองโกบ คราวนั้นสิบเบคัยตระกูลหุชาห์ได้ฆ่าสัฟคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ 19 และมีการรบกับคนฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก เอลฮานันบุตรยาอาเรโอเรกิม ชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าโกลิอัท ชาวกัทผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า 20 มีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็สืบเนื่องมาจากพวกคนยักษ์ด้วย 21 เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตรของชิเมอีเชษฐาของดาวิดก็สังหารเขาเสีย 22 คนทั้งสี่นี้สืบเนื่องมาจากคนยักษ์ในเมืองกัท เขาทั้งหลายล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของข้าราชการของพระองค์


B. เพลงแห่งดาวิด 22:
1. เพลงแทนคำนำ 1-4
1 เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิดให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน และให้พ้นจากพระหัตถ์ของซาอูล ดาวิดก็ถวายถ้อยคำของเพลงบทนี้แด่พระเจ้า 2 พระองค์ท่านตรัสว่า
¡°พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า
3 เป็นพระเจ้า ซึ่งทรงเป็นพระศิลาของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์
เป็นโล่ และเป็นพลังแห่งความรอดของข้าพเจ้า
เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า
พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
4 ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ
และข้าพเจ้าได้รับการช่วยให้พ้นจากศัตรูของข้าพเจ้า

2. ความรอดจากมีความทุกข์ทรมาน 5-20
5 ¡°เพราะคลื่นมัจจุราชล้อมข้าพเจ้า
กระแสแห่งความหายนะท่วมทับข้าพเจ้า กระทำให้กลัว
6 สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพเจ้า
บ่วงมัจจุราชปะทะข้าพเจ้า
7 ¡°ในยามทุกข์ใจข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า
ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าของข้าพเจ้า
จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า
และเสียงร้องของข้าพเจ้ามาถึงพระกรรณของพระองค์
8 ¡°แล้วแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง
รากฐานของฟ้าสวรรค์ก็หวั่นไหว
และสั่นสะเทือนเพราะพระองค์ทรงกริ้ว
9 ควันออกไปตามช่องพระนาสิกของพระองค์
และเพลิงผลาญออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
ถ่านก็ติดเปลวไฟนั้น
10 พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วยและเสด็จลงมา
ความมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
11 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง และทรงเหาะไป
เออ เห็นพระองค์เสด็จโดยปีกของลม
12 พระองค์ทรงกระทำความมืดเป็นปะรำของพระองค์
คือที่รวบรวมบรรดาน้ำ เมฆทึบแห่งฟ้า
13 ถ่านลุกเป็นเพลิง
จากความสุกใสข้างหน้าพระองค์
14 พระเจ้าทรงคะนองกึกก้องจากฟ้าสวรรค์
และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียงของพระองค์
15 และพระองค์ทรงใช้ลูกธนูของพระองค์ออกมา ทำให้เขากระจายไป
พระองค์ทรงปล่อยฟ้าแลบและทำให้เขาโกลาหล
16 แล้วก็เห็นท้องธาร
รากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง
ตามการขนาบของพระเจ้า
ตามที่ลมพวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
17 ¡°พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้า
พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย
18 พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากศัตรู
ที่เข้มแข็งของข้าพเจ้า
จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า
เพราะเขามีอานุภาพเกินกว่าข้าพเจ้า
19 เขาปะทะข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าเกิดภัยพิบัติ
แต่พระเจ้าทรงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
20 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้า ออกมายังที่กว้างใหญ่ด้วย
พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าเพราะพระองค์ทรงยินดีในข้าพเจ้า


3. การต้อบแทนของพระเจ้ายุติธรรม 21-31
21 ¡°พระเจ้าทรงประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าตามความสะอาดแห่งมือของข้าพเจ้า
22 เพราะข้าพเจ้ารักษาบรรดาพระมรรคาของพระเจ้า
และไม่ได้พรากจากพระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างอธรรม
23 เพราะกฎหมายทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
และข้าพเจ้ามิได้หันจากกฎเกณฑ์ของพระองค์
24 ต่อพระพักตร์พระองค์ข้าพเจ้าไร้ตำหนิ
และข้าพเจ้ารักษาตัวไว้ให้พ้นจากกรรมชั่วของข้าพเจ้า
25 เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามความสะอาดของข้าพเจ้าในสายพระเนตรของพระองค์
26 ¡°พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อผู้ที่จงรักภักดี
พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ไร้ตำหนิต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ
27 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์บริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์
พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่คดโกง
28 พระองค์ทรงช่วยกู้ประชาชนที่อนาถ
แต่พระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่ยโสเพื่อนำเขาให้ต่ำลง
29 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์
พระเจ้าทรงกระทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่าง
30 พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้โดยพระองค์
โดยพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากระโดดข้ามกำแพงได้
31 ฝ่ายพระเจ้า พระมรรคาของพระองค์บริสุทธิ์หมดจด
พระสัญญาของพระเจ้า พิสูจน์แล้วเป็นความจริง
พระองค์ทรงเป็นโล่ของบรรดาผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์

4. ความรอดอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น 32-46
32 ¡°เพราะผู้ใดจะเป็นพระเจ้า นอกจากพระเยโฮวาห์
และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลา นอกจากพระเจ้าของเรา
33 พระเจ้าทรงเป็นป้อมเข้มแข็งของข้าพเจ้า
และพระองค์ทรงนำผู้ไร้ตำหนิในพระมรรคาของพระองค์
34 พระองค์ทรงกระทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย
และทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่สูงของข้าพเจ้า
35 พระองค์ทรงหัดมือของข้าพเจ้าให้ทำสงคราม
แขนของข้าพเจ้าจึงโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้
36 พระองค์ประทานโล่ความรอดของพระองค์ให้ข้าพระองค์
และซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลง ก็กระทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
37 พระองค์ประทานที่กว้างขวางสำหรับเท้าของข้าพระองค์
เท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด
38 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์และได้ทำลายเขาเสีย
และไม่หันกลับจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียสิ้น
39 ข้าพระองค์ผลาญเขา ข้าพระองค์แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีกได้
พ่ะย่ะค่ะ เขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์แล้ว
40 เพราะพระองค์ทรงคาดเอวข้าพระองค์ไว้ด้วยกำลังเพื่อทำสงคราม
พระองค์ทรงกระทำให้พวกที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์จมลงใต้ข้าพระองค์
41 พระองค์ทรงกระทำให้ศัตรูของข้าพระองค์หันหลังหนีข้าพระองค์
บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ทำลายเสีย
42 เขามองหา แต่ไม่มีใครช่วยให้รอดได้
เขาร้องทูลต่อพระเจ้า แต่พระองค์มิได้ทรงตอบเขา
43 ข้าพระองค์ทุบตีเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน
ข้าพระองค์เหยียบเขาลงเหมือนโคลนตามถนนและกระจายเขาออกไปทั่ว
44 ¡°พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากการเกี่ยงแย่งประชาชนของข้าพระองค์
พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จักก็จะปรนนิบัติข้าพระองค์
45 ชนต่างด้าวจะมาหมอบราบต่อข้าพระองค์
พอเขาได้ยินถึงข้าพระองค์เขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์
46 ชนต่างด้าวเสียกำลังใจ
และตัวสั่นออกมาจากที่กำบังของเขาทั้งหลาย



5. เพลงแทนสุดท้าย 47-51
47 ¡°พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่สรรเสริญ
พระเจ้า พระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง
48 คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการแก้แค้นให้แก่ข้าพระองค์
และนำชนชาติทั้งหลายลงให้อยู่ใต้ข้าพระองค์
49 ผู้ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากศัตรูของข้าพระองค์
พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงยกข้าพระองค์ให้เหนือปฏิปักษ์ของข้าพระองค์
พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนทารุณ
50 ¡°ข้าแต่พระเจ้า เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์ขอเชิดชูพระองค์ ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย
และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
51 พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่พระราชาของพระองค์
และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้ที่ทรงเจิมของพระองค์แก่ดาวิด และพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์



C. ทหารกล้าหาญของดาวิด 23:
1. เพลงสุดท้ายของดาวิด 1-7
1 ต่อไปนี้เป็นวาทะสุดท้ายของดาวิด
ดาวิดบุตรเจสซีได้กล่าว
และชายที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นให้สูงได้กล่าว
คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ของพระเจ้าแห่งยาโคบ
นักแต่งสดุดีอย่างไพเราะของอิสราเอล ได้กล่าวดังนี้ว่า
2 ¡°โดยข้าพเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าได้ตรัส
พระวจนะของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
3 พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงลั่นพระวาจา
พระศิลาแห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า
เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม
คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
4 เขาทอแสงเหนือประชาชนเหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ
ซึ่งเมื่อภายหลังฝน กระทำให้หญ้างอกออกจากดิน
5 เออ พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้ามิใช่หรือ
เพราะพระองค์ทรงกระทำพันธสัญญาเนืองนิตย์กับข้าพเจ้าไว้
อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง
เพราะพระองค์จะไม่ทรงกระทำให้ความอุปถัมภ์และความปรารถนาของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ
6 แต่คนที่อธรรมก็เป็นเหมือนหนามที่ต้องผลักไสไป
เพราะว่าจะเอามือหยิบก็ไม่ได้
7 แต่คนที่ถูกต้องมัน
ต้องมีอาวุธที่ทำด้วยเหล็กและมีด้ามหอก
และต้องเผาผลาญเสียให้สิ้นเชิงด้วยไฟ¡±

2. ทหารกล้าหาญ 3 คน ของ ดาวิด 8-17
8 ต่อไปนี้เป็นชื่อวีรบุรุษที่ดาวิดทรงมีอยู่ คือ โยเชบบัสเชเบธตระกูลทัคโมนี เป็นจอมในคนทั้งสามนั้น เขาเหวี่ยงหอกเข้าแทงคนแปดร้อยคนซึ่งเขาได้ฆ่าเสียในครั้งเดียว
9 ในจำนวนวีรบุรุษสามคน คนที่รองคนนั้นมา คือเอเลอาซาร์บุตรโดโด ผู้เป็นบุตรของอาโหไฮ ท่านอยู่กับดาวิดตั้งแต่ครั้งที่เขาทั้งหลายได้พูดหยามพวกฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกันที่นั่นเพื่อสู้รบ และคนอิสราเอลก็ถอยทัพ 10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันพวกฟีลิสเตียจนมือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเจ้าทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมา เพื่อปลดข้าวของจากผู้ที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น
11 รองเขามาคือชัมมาห์ บุตรอาเกชาวฮาราร์ คนฟีลิสเตียมาชุมนุมกันอยู่ที่เลฮี เป็นที่ที่มีพื้นดินผืนหนึ่งมีถั่วแดงเต็มไปหมด พวกพลก็หนีพวกฟีลิสเตียไป 12 แต่ท่านยืนมั่นอยู่ท่ามกลางพื้นดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินนั้นไว้ และฆ่าฟันคนฟีลิสเตีย และพระเจ้าได้ทรงประทานชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
13 ในพวกทหารเอกสามสิบคนนั้นมีสามคนที่ลงมา และได้มาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัมในฤดูเกี่ยวข้าว มีคนฟีลิสเตียกองหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 คราวนั้นดาวิดประทับในที่กำบังเข้มแข็ง และทหารประจำป้อมของฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดตรัสด้วยความอาลัยว่า ¡°ใครหนอจะส่งน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมืองมาให้เราดื่มได้¡± 16 ทแกล้วทหารสามคนนั้นก็แหกค่ายคนฟีลิสเตียเข้าไป ตักน้ำที่บ่อเบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมือง นำมาถวายแก่ดาวิด แต่ดาวิดหาทรงดื่มน้ำนั้นไม่ พระองค์ทรงเทออกถวายแด่พระเจ้า 17 และตรัสว่า ¡°ข้าแต่พระเจ้า ซึ่งข้าพระองค์จะกระทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ ควรที่ข้าพระองค์จะดื่มโลหิตของผู้ที่ตักมาด้วยการเสี่ยงชีวิตของเขาหรือ¡± เพราะฉะนั้นพระองค์หาทรงดื่มไม่ ทแกล้วทหารทั้งสามได้กระทำสิ่งเหล่านี้

3. อาบีซัย และ เบไนยาห์ 18-23
18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของทั้งสามสิบคนนั้น ท่านได้ยกหอกต่อสู้ทหารสามร้อยคน และฆ่าตายสิ้น และได้รับชื่อเสียงดังวีรบุรุษสามคนนั้น 19 ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสามสิบคนนั้น ฉะนั้นได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น
20 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นคนแข็งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ ท่านได้ฆ่าบุตรอารีเอลของโมอับเสียสองคน ท่านได้ลงไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย 21 ท่านได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างงาม คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหาเขาและแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง 22 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาได้กระทำกิจเหล่านี้และได้ชื่อเสียงดั่งวีรบุรุษสามคนนั้น 23 ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าสามสิบคนนั้น แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น และดาวิดก็ทรงแต่งท่านให้เป็นผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์

4. ทหารกล้าหาญ 30 คน ของดาวิด 24-39
24 อาสาเฮลน้องชายของโยอาบเป็นคนหนึ่งในสามสิบคนนั้น เอลฮานันบุตรชายของโดโดชาวเบธเลเฮม 25 ชัมมาห์ชาวเมืองฮาโรด เอลีคาชาวเมืองฮาโรด 26 เฮเลสตระกูลเปเลท อิราบุตรอิกเขช ชาวเมืองเทโคอา 27 อาบีเฮเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยตระกูลหุชาห์ 28 ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัย ชาวเนโทฟาห์ 29 เฮเลบบุตรบาอานาห์ ชาวเนโทฟาห์ อิททัยบุตรรีบัยชาวกิเบอาห์ แห่งคนเบนยามิน 30 เบไนยาห์ ชาวปิราโธน ฮิดดัย ชาวลำธารกาอัช 31 อาบีอัลโบนตระกูลอารบาห์ อัสมาเวทชาวบาฮูริม 32 เอลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรชายของยาเชน โยนาธาน 33 ชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิยัมบุตรของชาราร์ คนฮาราร์ 34 เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัม บุตรอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์ 35 เฮสโร ชาวคารเมล ปารัย ชาวอาราบ 36 อิกาล บุตรนาธัน ชาวโศบาห์ บานีคนเผ่ากาด 37 เศเลก คนอัมโมน นาหะรัย ชาวเบเอโรท คนถือเครื่องอาวุธของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์ 38 อิรา ตระกูลอิทไรต์ กาเรบ ตระกูลอิทไรต์ 39 อุรีอาห์คนฮิตไทต์ รวมสามสิบเจ็ดคนด้วยกัน


D. การนับประชากรอิสราเอล และ ยูดาห์ของดาวิด 24:
1. การนับประชากรอิสราเอล และ ยูดาห์ของดาวิด 1-9
1 พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า ¡°จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์¡± 2 พระราชาจึงรับสั่งโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า ¡°จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และท่านจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน¡± 3 แต่โยอาบกราบทูลพระราชาว่า ¡°ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาททรงให้มีประชาชนเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าของที่มีอยู่ ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงเห็นทันตา แต่ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจึงพอพระทัยในเรื่องนี้¡± 4 แต่โยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพก็ต้องยอมจำนนต่อพระดำรัสของพระราชา โยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพจึงออกไปจากพระพักตร์พระราชา เพื่อจะนับประชาชนอิสราเอล 5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่อยู่กลางหุบเขากาดถึงยาเซอร์ 6 แล้วเขาทั้งหลายก็มายังกิเลอาดและมาถึงแผ่นดินตะทิมโหดฉิ และเขาทั้งหลายมาถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปยังเมืองไซดอน 7 และมาถึงป้อมเมืองไทระ และทั่วทุกหัวเมืองของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน และเขาออกไปยังเนเกบแห่งยูดาห์ที่เมืองเบเออร์เชบา 8 เมื่อเขาไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว เขาจึงมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้นเก้าเดือนกับยี่สิบวัน 9 และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่พระราชาในอิสราเอล มีทหารแข็งกล้าแปดแสนคน ผู้ซึ่งชักดาบ และคนยูดาห์มีห้าแสนคน


2. การกลับใจเสียใหม่ของดาวิด 10-17
10 เมื่อได้นับจำนวนเสร็จแล้วพระทัยของดาวิดก็โทมนัส และดาวิดกราบทูลต่อพระเจ้าว่า ¡°ข้าพระองค์ได้กระทำบาปใหญ่ยิ่งในสิ่งซึ่งข้าพระองค์ได้กระทำนี้ ข้าแต่พระเจ้า แต่ขอพระองค์ทรงให้อภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์กระทำการอย่างโง่เขลามาก¡± 11 และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระเจ้าก็มายังกาดผู้เผยพระวจนะผู้ทำนายของดาวิดว่า 12 ¡°จงไปบอกดาวิดว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ¡®เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่งเพื่อเราจะได้กระทำให้แก่เจ้า¡¯ ¡± 13 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า ¡°จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของฝ่าพระบาทสิ้นเจ็ดปีหรือ หรือฝ่าพระบาทจะยอมหนีศัตรูสิ้นเวลาสามเดือนด้วยเขาไล่ติดตาม หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินของฝ่าพระบาทสิ้นสามวัน บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงตรึกตรอง และตัดสินในพระทัยว่าจะให้คำตอบประการใด เพื่อข้าพระบาทจะนำกลับไปกราบทูลพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระบาทมา¡± 14 ดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า ¡°เรามีความกระวนกระวายมาก ขอให้เราทั้งหลายตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะพระกรุณาคุณของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย¡±
15 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และประชาชนที่ตายตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบามีเจ็ดหมื่นคน 16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็มจะทำลายเมืองนั้น พระเจ้าทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น ตรัสสั่งทูตสวรรค์ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า ¡°พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้¡± ส่วนทูตของพระเจ้าก็อยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส 17 เมื่อดาวิดทอดพระเนตรทูตสวรรค์ผู้กำลังสังหารประชาชนนั้น พระองค์กราบทูลพระเจ้าว่า ¡°นี่แหละข้าพระองค์ได้ละเมิดกระทำบาปแล้ว แต่บรรดาแกะเหล่านี้ เขาได้กระทำอะไร ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์และพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เถิด¡±

3. การสร้างแทนบูชา 18-25
18 ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า ¡°ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส¡± 19 ดาวิดก็เสด็จขึ้นไปตามคำของกาดตามที่พระเจ้าทรงบัญชา 20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นพระราชาและข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมพระราชาซบหน้าลงถึงดิน 21 และอาราวนาห์กราบทูลว่า ¡°ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จึงเสด็จมาหาข้าพระบาท¡± ดาวิดตรัสว่า ¡°มาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เพื่อโรคร้ายจะได้ระงับเสียจากประชาชน¡± 22 อาราวนาห์จึงกราบทูลดาวิดว่า ¡°ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จงรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบขึ้นถวาย ที่นี่มีวัวสำหรับทำเครื่องเผาบูชา และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน 23 ของทั้งสิ้นนี้อาราวนาห์ขอถวายแด่พระราชา¡± และอาราวนาห์กราบทูลพระราชาอีกว่า ¡°ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทจงโปรดปรานฝ่าพระบาท¡± 24 แต่พระราชาตรัสกับอาราวนาห์ว่า ¡°หามิได้ แต่เราจะขอเสียเงินซื้อจากท่าน เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้¡± ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล 25 ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น และถวายเครื่องเผาบูชากับเครื่องศานติบูชา พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ระงับเสียจากอิสราเอล



BIBLIOGRAPHY
Aalders, G., Biblical Student¡±s Commentary
Brown. S., The Jerome Biblical Commentary
Calvin, John, Commentary on Samuels
Caied G.B., Schroder,J.C., The Interpreter¡¯s Bible
Clarke,A., Clark¡¯s Commentary
Davidson, R., The Cambridge Bible Commentary
Driver, S.R., Notes on the 1st and 2nd Samuels
Eissfeldt, O. Die Kommposition der Samuelishunuels
Fay, F.R., Lange¡¯s Commentarues
Grant, F.W., Joshua to II Samuel
Hengstenberg, E.W., Kommentar uber Alten Testament
Henry, Matthew, Commentary on the Scriptures
Keil, D. R., Die Buecher Samuel
Keil D.R. & Delitzsch, Commentaries on the Old Testament
Kennedy, A.R.S., The New Centry Bible
Kirkpatrich, A.F., The Cambridge Bible
Meyer, F.B., Bible Commentary
Muphy, J.G., A Critical and Exgetical Commentary
Nicoll, W., The Expositor¡¯s Bible
Pfeiffere, C.F., Harrison, E.F., The Wycliffe Bible Commentary
Rehm, M., Die Buecher Samuel
Smith, H.P., The International Critical Commentary
Smith, R.P., Pulpit Commentary

2019-01-12 20:39:40


   

°ü¸®Àڷα×ÀÎ~~ Àüü 293°³ - ÇöÀç 1/20 ÂÊ
293
Á¤½Âȸ
2023-12-04
19
292
2023-11-04
24
291
2023-06-26
31
290
Dr. Chana
2022-11-11
50
289
Dr. Chana
2022-11-05
48
288
Dr. Chana
2022-01-02
121
287
ดũ
2021-12-02
108
286
Dr. Chana
2021-03-02
163
285
Dr. Chana
2020-05-19
328
284
Dr. Chana
2020-03-08
317
283
Dr. Chana
2020-02-13
326
282
Dr. Chana
2020-02-09
269
281
Dr. Chana
2020-01-29
289
280
Dr. Chana
2020-01-29
310
279
Dr. Chana
2020-01-19
301

[¸ÇóÀ½] .. [ÀÌÀü] 1 [2] [3] [4] [5] [6] [7] [´ÙÀ½] .. [¸¶Áö¸·]