Dr. Isarakul
  The Westminster Shorter Catechism
  

The Westminster Shorter Catechism
Dr. Isarakul

บทที่ 1

คำถามที่ 1 อะไรเป็นจุดมุ่งหมายหลักของมนุษย์
คำตอบ จุดมุ่งหมายหลักของมนุษย์คือการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าและชื่นชมยินดีในพระองค์ตลอดไป

1 เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า (1 คร 10:31) "องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับพระสิริ พระเกียรติและฤทธานุภาพ เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์" (วว 4:11)

2 นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาผู้ใดในโลก เนื้อหนังและจิตใจของข้าพระองค์จะวายไป แต่พระเจ้าทรงเป็นกำลังใจของข้าพระองค์ และเป็นส่วนของข้าพระองค์เป็นนิตย์สดุดี 73:25'-26

มีเหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์ และเหตุผลนี้ไม่สามารถพบได้ในมนุษย์เอง เพราะว่าจริงๆแล้ว พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นไปตามพระลักษณะของพระองค์ เพื่อที่ว่าพระองค์ต้องการให้มนุษย์นั้นมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะเอาตัวเขาเองเป็นศูนย์กลาง ด้วยเหตุนี้ความคิดอันเป็นหนึ่งเดียวและความปรารถนาอันเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์ ก่อนที่ความบาปจะเข้ามาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างก็คือการมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้าและชื่นชมยินดีในพระองค์ อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์ (ซึ่งก็คืออาดัม) ได้ทำบาปเป็นครั้งแรกนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แทนที่เขาจะคิดถึงความยิ่งใหญ่และความตระการตาของพระเจ้า เขากลับเริ่มต้นที่จะคิดถึงตัวเขาเอง เขาเริ่มต้นคิดว่ามันจะเป็นเช่นไรถ้าเขามีความ ยิ่งใหญ่และยังคิดว่าถ้าเขาสามารถที่จะชื่นชมยินดีในตัวเองด้วยจะเป็นเช่นไร

ให้เราทั้งหลายลองแสดงถึงความแตกต่างระหว่างสองสถานการณ์นี้ โดยในหน้าต่อไปจะเป็นแผนภูมิ A ซึ่งแสดงถึงมนุษย์ในฐานะที่เขาถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรก ซึ่งแผนภูมินี้จะแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมต่างๆในชีวิตของเขาว่าเป็นไปเพื่อที่จะรับใช้ความพึงพอใจของพระเจ้า ส่วนแผนภูมิ B นั้นแสดงให้เห็นถึงมนุษย์หลังจากที่ล้มลงในความบาปแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการที่กิจกรรมต่างๆในชีวิตของเขานั้นล้วนเป็นไปเพื่อรับใช้ความพึงพอใจของเขาเอง

เป็นเรื่องจริงที่ผู้คนนั้น ไม่มีชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า และไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำให้พระองค์ทรงถึงพอพระทัย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่ตามแบบแผนภูมิ B ทั้งนี้พวกเขาได้อุทิศตัวเองให้กับหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งบางครั้งอาจจะดูเหมือนว่าไม่เป็นเรื่องของการมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเอง เช่น บางคนอาจจะอุทิศตัวเองให้กับการรับใช้ประเทศชาติเป็นต้น หรือบางคนอาจจะแสวงหา ¡°ความเป็นมนุษย์ที่ดี¡± และยังมีอีกหลายคนที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แนวคิดของ การเป็นคนดีที่สุดในท่ามกลางคนมากมาย แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว การประพฤติตนเช่นในแผนภูมิ B เป็นความเสื่อมทรามของชีวิต เพราะว่ามันไม่ได้เป็นการมีชีวิตอยู่โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระเจ้า แต่เป็นการมีชีวิตอยู่โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่มนุษย์ คนที่แสวงหาความจริงของมนุษย์เป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดนั้น ก็กำลังพยายามแสวงหาความดีของตนเองเท่านั้น แต่มีเพียงแค่คริสเตียน (ซึ่งหมายถึงบุคคลผู้ที่เชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า) บุคคลเหล่านี้สามารถที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอใจตลอดไป และในส่วนแรกของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยคำถามถามตอบ จะแสดงให้เห็นว่าเราจะสามารถเป็นคนที่มีพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางซึ่งจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอใจตลอดไปได้อย่างไร

ทั้งนี้ การถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้หมายถึงการทำให้พระเจ้ามีเกียรติ เพราะพระเจ้าทรงมีเกียรติอยู่แล้ว พระองค์ทรงมีเกียรติตั้งแต่นิรันดร์กาลก่อนหน้านี้ และไม่มีสิ่งใดเลยที่พระองค์ทรงสร้างจะสามารถทำให้พระองค์มีเกียรติเพิ่มมากขึ้นไปกว่าการที่พระองค์ทรงมีเกียรติอยู่แล้ว ดังนั้นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าควรจะได้รับการเข้าใจว่าเป็นการสะท้อนพระเกียรติของพระองค์ออกมา ทั้งนี้เราได้เห็นในสดุดี 19:1 ว่า ¡°ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์¡± ซึ่งทำให้เราเห็นว่าโลกอันสวยงามที่พระองค์ทรงสรรค์สร้างนั้นเป็นเหมือนกระจก และเมื่อเรามองไปที่กระจกนั้น เราก็จะสามารถเห็นถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จุดหมายสำคัญที่สุดของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกก็คือการประกาศหรือการสำแดงถึงพระเกียรติสิริของพระองค์นั้นเอง แต่ในกรณีของมนุษย์นั้นแตกต่างออกไป เราได้รับการเชื้อเชิญให้ทำสิ่งนี้เพราะว่าเราต้องการทำ ฟ้าสวรรค์นั้นไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกาศพระสิริของพระเจ้า แต่เราได้รับสิทธิพิเศษสำหรับการทำสิ่งนี้เพราะว่าเราต้องการ นั่นเป็นสิ่งที่องค์พระเยซูทำเมื่อพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนโลกใบนี้เพื่อรับใช้พระบิดาของพระองค์ ตามที่พระองค์ทรงตรัสในยอห์นบทที่ 17 ข้อ 4 ว่า ¡°ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก ข้าพระองค์ได้กระทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว¡± ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระเยซูทรงกระทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้พระองค์ทำ และพระองค์ทรงทำสิ่งนั้นเพราะว่าพระองค์ทรงต้องการทำ และด้วยวิธีเช่นนี้นี่เองพระเยซูได้ทรงถวายเกียรติแด่พระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยตลอดกาล

หลายคนไม่ต้องการที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า และไม่ต้องการที่จะทำให้พระองค์พึงพอใจตลอดกาล นั่นอาจจะหมายถึงว่า บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยคำถามถามตอบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเมื่อมีการกำหนดหัวข้อมาว่าจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือการถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะว่าถึงแม้ว่า บุคคลคนหนึ่งจะไม่ต้องการที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือแม้แต่บุคคลคนนั้นไม่ต้องการที่จะรับใช้พระองค์อย่างเต็มใจ แต่ทว่าเขาคนนั้นก็ยังคงต้องขึ้นตรงกับพระเจ้าอยู่ดี เหมือนอย่างที่เปาโลบอกว่าช่างปั้นจะไม่มีสิทธิอำนาจเหนือดินที่เขาปั้นเชียวหรือ และยังบอกต่อไปว่ามันเป็นสิทธิของผู้ปั้นที่จะปั้นภาชนะธรรมดา อันหนึ่งและอีกอันหนึ่งเป็นภาชนะที่มีเกียรติไม่ใช่หรือ แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสำแดงพระพิโรธของพระองค์ เพื่อที่จะต้องการให้ฤทธิ์เดชของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ หรือบางครั้งพระองค์ทรงมีความอดทนนาน ที่จะไม่สำแดงภาชนะแห่งพระพิโรธนั้น เพื่อนำความหายนะมา ซึ่งนั่นก็เท่ากับทำให้พระองค์ได้รับการรู้จักใน ความมั่งคั่งแห่งพระสิริของพระองค์ผ่านทางภาชนะแห่งพระเมตตาซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าไปสู่พระสิรินั้น ในอีกมุมหนึ่ง ทั้งภาชนะที่เสียไปและภาชนะที่ได้รับการเก็บรักษาก็ได้ทำให้พระเกียรติของพระเจ้าได้รับการเปิดเผย ซึ่งนั่นหมายความว่าคนที่ได้รับความรอด ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พระเมตตาของพระเจ้าได้รับการประจักษ์และเป็นที่สรรเสริญ ในขณะเดียวกันคนที่หลงหายนั้นพระพิโรธของพระเจ้าและความยุติธรรมของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์และได้รับเกียรติเช่นกัน ความแตกต่างก็คือในกรณีของผู้ที่หลงหายซึ่งหมายถึงผู้ที่ไม่ได้กลับใจและเชื่อในพระคริสต์นั้น พระเจ้าทรงเป็นเหตุให้พวกเขาต้องถวายเกียรติแด่พระองค์ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ชื่นชอบกับการถวายเกียรติพระองค์แบบนั้นก็ตาม แต่สำหรับในกรณีของผู้ที่ได้รับความรอดนั้นพวกเขามาเพื่อที่จะแสดงความต้องการของพวกเขาในการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และพวกเขาก็ทำให้พระองค์พึงพอใจตลอดกาลอย่างแท้จริงด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อบทเรียนพระคัมภีร์แบบถามตอบได้พูดถึงจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของมนุษย์ นั้นก็หมายความว่า ชีวิตที่แท้จริงของคริสเตียนนั้นสามารถที่จะแบ่งออกเป็นหลายๆส่วนหรือหลายๆองค์ประกอบที่แยกออกจากกันและกัน เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงที่ว่าคริสเตียนอาจจะมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นหรืออาจจะเรียกว่าเป้าหมาย หรือจะเรียกว่าจุดประสงค์ หรือวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่ ในชีวิตมากกว่าสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนา ทั้งนี้การนมัสการนั้นอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตคริสเตียน และอาจจะไม่ใช่การเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ หรือว่าการทำพันธกิจรับใช้เป็นชีวิตของคริสเตียนทั้งหมดด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้เราไม่สามารถที่จะสรุปได้ว่าถ้าบุคคลคนหนึ่งเทศนาพระกิตติคุณของพระเจ้า แล้วเขาคนนั้นจำเป็นต้องมีการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเสมอไป เพราะเป็นความจริงที่ว่ามีผู้เทศนาหลายคน เทศนาด้วยคำสอนที่ผิดๆและไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า นอกจากนี้ยังมีคริสเตียนหลายคนทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันในโรงงานหรือในธุรกิจ แต่พวกเขาทำในวิถีทางที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ด้วยเหตุนี้มุมมองที่แท้จริงก็คือการที่เมื่อบุคคลหนึ่งแสวงหาที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า เขาก็แสวงที่จะทำเช่นนี้ตลอดเวลา และแสวงหาที่จะทำเช่นนี้ในทุกๆกิจกรรม ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็จะทำเพื่อที่จะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ การทำงานอย่างสัตย์ซื่อและความขยันขันแข็ง ก็เป็นตัวอย่างของการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเช่นกัน เหมือนกับที่เขามานมัสการพระเจ้าในวันสะบาโตหรือเป็นพยานกับผู้ที่ไม่เชื่อ ทั้งนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า บางสิ่งบางอย่างที่เราทำนั้นมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นๆ และมุมมองที่แท้จริงของการเป็นสาวกในทาง คริสเตียนนั้น ก็คือการที่เราจะต้องให้ชีวิตทั้งหมดเป็นชีวิตที่มีจิตสำนึกที่จะอยู่เพื่อที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าและรับใช้พระนามของพระองค์

ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าทั้งหมดของชีวิตนั้นต้องเป็นไปโดยการที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (แผนภูมิ A) ซึ่งทำให้เราต้องมาเน้นย้ำอีกครั้งถึงความจริงที่ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถที่จะมีชีวิตอยู่แบบมีพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางได้จนกว่าเขาจะยอมจำนนต่อพระคริสต์ และเพื่อที่จะรู้ได้ว่าเราจะสามารถถวายเกียรติพระเจ้าและชื่นชมยินดีในพระองค์ตลอดกาลได้อย่างไร ทั้งนี้ เราจะต้องเรียนรู้วิถีทางแห่งความรอดซึ่งได้รับการสอนอยู่ในพระคัมภีร์ และนอกจากนี้เราต้องเรียนรู้ว่ามนุษย์ต้องเชื่ออะไรบ้างเกี่ยวกับพระเจ้า และมีหน้าที่อะไรบ้างที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์

ขอให้เราตั้งใจที่จะ ตอบคำถาม ต่อไปนี้
คำถาม

1 คำว่า ¡°สำคัญที่สุด¡± ในวลีที่ว่าจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดที่ให้ไปในบทเรียนนั้นหมายความว่าอะไร
2 คำว่า ¡°จุดมุ่งหมาย¡± ในวลีที่ ว่า จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดที่ให้ไปบทเรียนที่ให้ไปนั้นคืออะไร
3 คำว่าถวายเกียรติหมายความว่าอย่างไร
4 ทำไมจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ต้องเป็นไปตามที่บทเรียนได้กล่าวไว้
5 มนุษย์ได้รับการสร้างขึ้นในครั้งแรกให้มีใครเป็นจุดศูนย์กลาง
6 มนุษย์ที่ล้มลงในบาปนั้น เปลี่ยนเป็นมีใครเป็นศูนย์กลาง
7 การที่บอกว่าคริสเตียนแท้นั้นมีพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางหมายความว่าอย่างไร
8 ในแผนภูมิ B นั้น บางคนใส่อะไรลงไปแทนที่จะเป็นตนเอง
9 แล้วสิ่งที่ใส่ลงไปในข้อที่ 8 เป็นสิ่งที่เลวร้ายไหม
10 การถวายเกียรติไม่ได้หมายถึงอะไร
11 ความแตกต่างระหว่างวิธีที่ฟ้าสวรรค์ถวายเกียรติแด่พระเจ้า กับวิธีที่มนุษย์ถวายเกียรติแด่พระเจ้าคืออะไร
12 คนชั่ว ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่ (ขอให้อธิบายสิ่งนี้)
13 เป็นการถูกต้องไหมสำหรับคริสเตียนที่จะมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่น ควบคู่ไปกับการมีจุดมุ่งหมายเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
14 ส่วนไหนของชีวิตที่ควรจะรับใช้เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
15 อะไรต่อไปนี้ที่เป็นการถวายเกียรติพระเจ้ามากกว่ากัน ; คนที่เทศนา ;คนที่ทำงานในโรงงาน
(ขอให้อธิบาย)



บทที่ 2

คำถามที่ 2 กฎใดที่พระเจ้าทรงให้แก่เราเพื่อที่จะนำเราในการถวายพระสิริและทำให้พระองค์ชื่นชมยินดี

คำตอบ ถ้อยคำของพระเจ้าซึ่งบรรจุอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่เป็นกฎอย่างเดียวเท่านั้นที่จะนำเราให้เราถวายเกียรติและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย

1 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม (2 ทิโมธี 3:16)

2 ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต และที่มีอยู่ในเมืองบริสุทธิ์นั้น และจากสิ่งที่มีเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้ไปเสีย ( วิวรณ์ 22:18-19)

เป็นสิ่งที่แปลกทีเดียวที่พระเยซูได้ทรงตรัสเอาไว้ในครั้งหนึ่งว่า พระเจ้าทรงซ่อนสิ่งต่างๆจากผู้เฉลียวฉลาดและเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นให้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์แบบเด็กๆ (ลูกา 10:12) ซึ่งในอีกทางหนึ่งนั้นหมายความว่าคนที่เฉลียวฉลาดที่สุด และมีการศึกษาดีที่สุดนั้น อาจจะเป็นคนที่ขาดแคลนสติปัญญามากที่สุดก็ได้ และบางคนที่เป็นเพียงคนธรรมดาซึ่งไม่ได้มีการศึกษาที่ดีอะไร กลับมีสติปัญญาอย่างแท้จริง เหตุผลสำหรับสิ่งนี้ก็คือการที่คนเรานั้นไม่สามารถที่จะมีสติปัญญาอย่างแท้จริงถึงความรู้ในความจริง เพราะว่าไม่ว่าคนเราจะยิ่งเรียนรู้ด้วยสติปัญญาและความพยายามของตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะค้นพบว่ายังมีอีกมากมายที่เขาไม่รู้ สิ่งนี้เปรียบเสมือนลูกโป่งแม้เมื่อมันพองออกและขยายออกไปในทุกๆทาง มันก็ยังไม่สามารถเติมเต็มโลกทั้งใบได้ ซึ่งนี่ก็เปรียบเสมือนกับการเรียนรู้ ในสิ่งต่างๆ ที่จะนำให้ผู้ที่เรียนรู้นั้น ได้มาเผชิญหน้ากับความลึกลับอันไม่มีที่สิ้นสุดของการงานอันอัศจรรย์ของพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น กล้องเทเลสโคปที่ใหม่ขึ้นและมีกำลังมากขึ้น ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ด้วยความหวังว่าจะสามารถที่จะเรียนรู้ความลับของดวงดาวต่างๆได้ แต่ผลลัพธ์ก็คือ แทนที่เขาจะได้ค้นพบดวงดาวทุกดวงอย่างที่เขาตั้งใจไว้ ก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้ค้นพบดวงดาวเพิ่มเติมอีกมากมายหลายล้านดวงที่จะต้องทำการศึกษากันให้มากขึ้นไปกว่านี้อีก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นระยะ ด้วยเหตุนี้เราจึงจะเห็นได้ว่ายิ่งมนุษย์ค้นพบอะไรต่างๆมากเท่าไหร่ มนุษย์ก็ยิ่งค้นพบว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขานั้นไม่รู้ และด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาก็จึงรู้สึกอ่อนระอาใจในที่สุดและตระหนักว่า พวกเขาไม่สามารถรู้จักสิ่งใดๆเลยอย่างจริงแท้จริง

ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทำให้มนุษย์รู้ทุกสิ่งโดยกำลังของตน เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ทุกสิ่ง ดังนั้น ตั้งแต่ปฐมกาลพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถให้ความรู้ที่แท้จริงในสิ่งต่างๆกับมนุษย์ได้ และตั้งแต่ปฐมกาลอีกเช่นกัน ความรู้เหล่านี้นั้นมายังมนุษย์ใน 2 ทาง คือ (1) ทางแรก พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ¡°การเปิดเผยโดยธรรมชาติ¡± ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกเราว่า ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ (สดุดี 19:1) ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย (โรม 1:20) (2) ในทางที่สอง ก็คือการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองในรูปแบบที่เราเรียกว่า ¡°การเปิดเผยพิเศษ¡± เพราะแม้แต่ในสวนสวรรค์ พระเจ้าก็ยังพูดกับอาด้ม ซึ่งนั่นก็ทำให้อาดัมได้ความรู้จากถ้อยคำของพระเจ้าเพิ่มเข้าไปจากการที่เขาได้เห็นพระราชกิจของพระองค์ในธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ ผ่านทางการเรียนรู้ธรรมชาติของอาดัม เขาจึงสามารถที่จะรู้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ทั้งหมด เขาไม่สามารถรู้ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา ยกตัวอย่างเช่น การกินผลไม้จากต้นไม้นั้น เพราะจริงๆแล้วการหลีกเลี่ยงการทดลองนี้อาดัมจำเป็นที่จะต้องตีความ "ข้อเท็จจริงของธรรมชาติ" ใน "แสงสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า"

เมื่ออาดัมทำบาปต่อต้านพระเจ้า เขาได้ปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้า โดยได้ทำตัวราวกับว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าเพื่อที่จะมาบอกเขาว่าสิ่งใดถูก และเขายังได้ตัดสินใจที่จะพยายามทำสิ่งที่เรียกกันว่าการทดสอบ ¡°ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์¡± (ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการลองถูกลองผิด) เพื่อที่จะค้นพบความจริงต่างๆด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เวลานั้นจนถึงเวลานี้ อาดัมและ พงศ์พันธ์ของเขา (ยกเว้นผู้ที่มาถึงความรอดผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์) ได้ก้าวเดินอยู่ในความมืดตลอดมา ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่ามีความมืดใดๆเกิดขึ้นในการเปิดเผยของพระเจ้า เพราะแสงสว่างของพระเจ้ายังคงส่องอย่างเฉิดฉายในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงทำ แต่ถ้าหากว่ามนุษย์ในเริ่มแรกซึ่งหมายถึงอาดัมที่เต็มไปด้วยความบาปไม่สามารถที่จะเข้าใจแสงสว่างของธรรมชาติโดยปราศจากแสงสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า แล้วพวกเราในปัจจุบันจะยิ่งไม่เข้าใจไปกว่านั้นสักเท่าไหร่ ทั้งนี้เนื่องจากหนทางเดียวที่มนุษย์สามารถที่จะได้รับความรอดจากโทษบาปนั้น ได้รับการเปิดเผยในพระคัมภีร์เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามการเปิดเผยของ พระเจ้าในธรรมชาติ ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้มนุษย์ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆว่ามนุษย์ต้องพึ่งพาในพระองค์ ซึ่งพระองค์ก็จะทรงนำเขาเข้ามาสู่การเปิดเผยพิเศษ นอกจากนี้ การเปิดเผยของพระเจ้าในธรรมชาติยังทำให้มนุษย์ได้เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ซึ่งจะทำให้เขารู้ว่าเขาควรจะนมัสการและรับใช้พระองค์ แต่กระนั้น ก็มีเพียงในพระคัมภีร์เท่านั้นที่มนุษย์สามารถที่จะเรียนรู้อย่างแท้จริงว่าพวกเขาต้องเชื่ออะไร(เพื่อที่จะรอดจากโทษบาป) และทำอะไร ( เพื่อที่จะรับใช้พระเจ้าอีกครั้ง)

แล้วสิ่งใดล่ะที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบหมายความถึง เมื่อบทเรียนได้กล่าวว่า ¡°พระวจนะของพระเจ้าซึ่งบรรจุเอาไว้ในพระคัมภีร์ทั้งภาคพันธสัญญาเก่าและภาคพันธสัญญาใหม่¡± ข้อความนี้ทำให้เราเข้าใจว่า ถ้อยคำต่างๆซึ่งเราค้นพบในพระคัมภีร์นั้น มาจากพระเจ้า อย่างไรก็ตามเพื่อที่เราจะเข้าใจสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน เราต้องเข้าใจถึงหนทางแบบผิดๆซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ได้รับการนำเอาไปใช้ โดยในเรื่องนี้จะมีภาพสาธิตอยู่ในหน้าต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงเวลาที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้รับการเขียนขึ้นมานั้น มีคนที่ฉลาดหลายคนได้พยายามที่จะใช้คำเดียวกันนี้ (ซึ่งหมายถึงคำว่า ¡°บรรจุอยู่ใน¡±) ด้วยความหมายที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ตั้งใจจะหมายถึงในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ ดังนี้

(1) อันดับแรกสุด ( แผนภูมิที่ 1) เรียกว่า กลุ่มเสรีนิยม ซึ่งเป็นผู้ที่ยึดถือมุมมองที่เชื่อว่า แค่บางส่วนในพระคัมภีร์เท่านั้นที่เป็นถ้อยคำของพระเจ้า และส่วนอื่นๆที่เหลือก็เป็นถ้อยคำของมนุษย์ พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาสามารถตัดสินใจด้วยตนเองว่าส่วนไหนเป็นส่วนที่ถูกและส่วนไหนเป็นส่วนที่ผิด

(2) อันดับที่ 2 ( แผนภาพ B) เรียกว่ากลุ่ม Neo orthodoxy โดยมุมมองของกลุ่มนี้ ได้รับการยึดถือโดยคณะต่างๆในนิกายโปรเตสแตนต์หลายคณะ โดยบางครั้งมีการเรียกความคิดแบบนี้เรียกว่า Barthianism (หมายถึงพวกที่ยึดถือแนวคิดตามนักศาสนศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่ชื่อว่า Karl Barh) ทั้งนี้ ผู้ที่ยึดถือในความคิดแบบนี้กล่าวว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น เป็นถ้อยคำของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดพลาดได้ แต่เขาบอกต่อไปว่าเมื่อคนอ่านถ้อยคำเหล่านั้น พระเจ้าก็ยังคงใช้ถ้อยคำเหล่านั้นเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้รับความจริงจากพระเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ ส่วนใดๆก็ได้ในพระคัมภีร์สามารถที่จะมีความหมายเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่มายังมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ตอนหนึ่งอาจจะพูดไปยังบุคคลหนึ่งในขณะที่พระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งก็พูดไปยังอีกคนอย่างนี้เป็นต้น

(3) อันดับที่ 3 ( แผนภาพ C) เรียกว่าเป็นมุมมองแบบปฏิรูป ซึ่งก็คือมุมมองที่เป็นความเชื่อของคริสเตียนในเชิงประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปในยุคแรก และนี่เป็นมุมมองที่ได้รับการสอนอยู่ในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ ผู้ซึ่งยึดถือมุมมองแบบนี้เชื่อว่าทุกๆถ้อยคำในพระคัมภีร์เป็นความจริงของพระเจ้า ไม่มีส่วนใดในพระคัมภีร์เลยที่ไม่ได้รับการดลใจ และถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่ไม่เชื่อคนใดมาอ่านพระคัมภีร์ก็ตาม พระคัมภีร์ก็ยังคงเป็นพระวจนะของพระเจ้า ตั้งแต่ข้อแรกของปฐมกาลไปจนข้อสุดท้ายของวิวรณ์ ซึ่งสามารถกล่าวแบบให้เห็นภาพชัดๆได้ว่า พระคัมภีร์ทั้งหมดคือพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง

และถ้าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า กฎเดียวที่จะนำเราไปสู่การที่เราจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอใจตลอดกาลนั้น ก็จะสามารถจะแบ่งได้ออกเป็น 3 ประการดังนี้

(1) ประการแรก เราจะต้องบอกว่าพระคัมภีร์นั้น ไม่สามารถที่จะผิดพลาดได้ ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงนั้นเป็นความจริง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าใครจะสามารถที่จะยกเอาทุกๆข้อความในพระคัมภีร์ออกมา แล้วถือว่าสิ่งนั้นเป็นจริงโดยนำเอาออกมาจากบริบทของเนื้อความ ในตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่นในสดุดี 53:1 ซึ่งกล่าวว่า " ไม่มีพระเจ้า" แต่แท้จริงแล้วข้อความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อความทั้งหมดเท่านั้น เพราะข้อความทั้งหมดนั้นกล่าวว่า "คนโง่รำพึงในใจของตนว่าไม่มีพระเจ้า" ด้วยเหตุนี้ การที่จะกล่าวได้ว่าพระคัมภีร์ไม่มีข้อผิดพลาดนั้น ก็ต้องเกิดขึ้นจากการที่เราได้อ่านและได้เข้าใจภาพรวมของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม

(2) ประการที่สอง เราสามารถพูดได้ว่าพระคัมภีร์นั้นชัดเจน ทั้งนี้เนื่องจากพระคัมภีร์ได้รับการเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะให้คนธรรมดาสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะพระเจ้าทรงพูดโดยตรงกับลูกๆของพระองค์ (เอเฟซัส 6:1-3) อย่างไรก็ตาม มีบางคริสตจักรปฏิเสธสิ่งนี้ พวกเขากล่าวว่ามีเพียงแค่ คนที่เป็นนักบวชและนักวิชาการเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้ ( ซึ่งสิ่งนี้ก็มีความจริงอยู่บ้างเพราะว่ามีหลายส่วนในพระคัมภีร์ที่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งแม้แต่นักวิชาการก็ยังต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ) แต่พระเจ้า โดยพระวิญญาณของพระองค์ สามารถที่จะนำคนธรรมดาธรรมดาให้เข้าใจสิ่งต่างๆที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะได้รับความรอด และพระเจ้าจะทรงทำให้พวกเขามีความชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ได้

(3) ประการสุดท้าย ก็คือการที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องมีอย่างอื่นอีกเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำให้เรารู้ในสิ่งที่ เราจำเป็นต้องรู้ ทั้งนี้ ศาสนาเทียมเท็จมากมายได้ปฏิเสธสิ่งนี้ ศาสนจักรโรมันคาทอลิกได้บอกว่าเรายังจำเป็นที่จะต้องยึดถือประเพณีที่สืบทอดมาอย่างเท่าเทียมกับพระคัมภีร์ พวกกลุ่มมอร์มอนบอกว่า เราจำเป็นต้องยึดถือคัมภีร์มอร์มอนไปพร้อมกับยึดถือพระคัมภีร์ปกติ นอกจากนี้ พวกที่มีแนวคิดแบบสมัยใหม่บอกเราว่าเราต้อง ค้นหา ¡°ความจริงทางวิทยาศาสตร์¡± ไปพร้อมๆกับการค้นหาความจริงทางพระคัมภีร์ แต่อย่างไรก็ตามพระเยซูกล่าวว่า พระคัมภีร์นั้นเพียงพอด้วยตัวของพระคัมภีร์เอง (วิวรณ์ 22:18-20) และมนุษย์ผู้ซึ่งมีพระคัมภีร์ก็ได้บอกว่า พระคัมภีร์นั้นเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ที่จะทำให้คนพรักพร้อมในการทำดี (2 ทิโมธี 3:15-17) อย่างไรก็ตามเมื่อพูดเช่นนี้ อาจจะมีคนถามขึ้นมาว่า แล้วในส่วนของหลักข้อเชื่อของอัครธรรมทูต หลักข้อเชื่อของคริสตจักร และในส่วนของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบของคริสตจักรปฏิรูปล่ะ สิ่งเหล่านี้มีบทบาทอยู่ตรงไหน คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ที่ว่า เราจะต้องตระหนักว่าสิ่งต่างๆที่กล่าวไปข้างต้นยังคงต่ำชั้นกว่าพระคัมภีร์มากมายนัก สิ่งต่างๆดังกล่าวจะต้องถูกนำไม่เป็นเครื่องมือเพื่อเสแสร้ง หรือเพื่อชักจูงให้ใครไขว้เขวและคิดไปว่าสิ่งนี้เทียบเท่ากับพระคัมภีร์ไม่ว่าจะโดยทางใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เราอาจจะใช้ สิ่งต่างๆเหล่านี้เพื่อความสะดวกในการสอนข้อสรุปต่างๆเมื่อเราจะต้องสอนคำสอนเรื่องต่างๆจากพระคัมภีร์ แต่เราจะต้องไม่บอกใครเป็นอันขาดว่า จะต้องเชื่อในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบเท่านั้น เพราะทั้งนี้เมื่อเราจะเชื่อสิ่งต่างๆในบทเรียน เราต้องมั่นใจว่าเราได้พิสูจน์คำสอนในบทเรียนด้วยพระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์อย่างถ้วนถี่แล้ว และด้วยการกระทำเช่นนี้แหละ ความเชื่อของเราจะเป็นสิ่งที่สามารถยอมรับได้และมีความมั่นคงปลอดภัย

คำถาม

1 คำว่า " บรรจุอยู่" (ในพระคัมภีร์) มีความหมายอย่างไรในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ
2 คำว่า ¡°พระวจนะ¡± มีความหมายว่าอย่างไร
3 คำว่า ¡°กฎ¡± มีความหมายว่าอย่างไร
4 คนที่ได้รับการศึกษาอย่างดีและเป็นคนที่เฉลียวฉลาดจะรู้จักความจริงของพระเจ้าได้ดีไปกว่าคนที่ด้อยการศึกษาและเป็นคนธรรมดาธรรมดาหรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
5 ความรู้ของมนุษย์นั้นมาจากการเรียนรู้จากธรรมชาติอย่างเดียวหรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
6 อะไรที่เป็นที่มา 2 แหล่งของความจริง
7 อะไรคือหลักการของสิ่งที่เรียกว่า ¡°ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์¡±
8 การเปิดเผยทางธรรมชาติบ่งบอกอะไรกับมนุษย์ทุกคนบ้างในปัจจุบันนี้
9 กลุ่มเสรีนิยมหมายความว่าอย่างไรเมื่อเขาบอกว่าพระคัมภีร์ ¡°บรรจุ¡± เอาไว้ด้วยถ้อยคำของพระเจ้า
10 กลุ่ม Neo orthodoxy หมายความว่ายังไงเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้
11 กลุ่มคริสตจักรปฏิรูปหมายความว่าอย่างไรเมื่อพูดถึงสิ่งนี้
12 การที่บอกว่าพระคัมภีร์ไม่สามารถจะผิดพลาดได้นั้นหมายความว่าอย่างไร
13 เมื่อเราบอกว่าพระคัมภีร์มีความ ¡°ชัดเจน¡± นั้นหมายความว่าอย่างไร (กลุ่มใดที่ปฏิเสธเรื่องความชัดเจนของพระคัมภีร์นี้)
14 เมื่อเราบอกว่าพระคัมภีร์นั้นมีความ ¡°เพียงพอ¡± หมายความว่าอย่างไร (กลุ่มใดที่ปฏิเสธความเพียงพอของพระคัมภีร์นี้)
15 ถ้าพระคัมภีร์เป็นดั่งเช่นที่เราได้กล่าวไปทั้งหมด แล้วทำไมเราจึงยังต้องการบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ



บทที่ 3

คำถามที่ 2 พระคัมภีร์สอนหลักการอะไรกับมนุษย์

คำตอบ หลักการที่พระคัมภีร์สอนมันก็คือให้มนุษย์นั้นเชื่อ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าและสอนมนุษย์ถึงหน้าที่ที่พระเจ้าทรงต้องการสจากมนุษย์

1. พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆอีกหลายประการต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งไม่ได้จดไว้ในหนังสือม้วนนี้ แต่การที่ได้จดเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์ (ยอห์น 20:30-31)

2 โอ มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเยโฮวาห์ทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรม และรักความเมตตา และดำเนินด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า (มีคาห์ 6:8)

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่สามารถเรียนรู้จากพระคัมภีร์ (1) ยกตัวอย่างเช่นพระคัมภีร์ไม่ได้บอกข้อมูลที่สมบูรณ์ให้กับเราเกี่ยวกับมนุษยชาติ เพราะนี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพระคัมภีร์เนื่องจากว่าเราสามารถเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้จากแหล่งอื่นๆ (2)พระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้ให้รายละเอียดทางเทคนิคที่จำเป็นทางวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะเราจะเห็นได้ว่าไม่มีสูตรทางเคมีในพระคัมภีร์เลย รวมทั้งเราไม่ได้เห็นหลักการทางอิเล็กทรอนิกส์ในพระคัมภีร์อีกด้วย (3) พระคัมภีร์ไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งหมดที่เราอยากรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เพราะจะเห็นได้ว่าเราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตในวัยเด็กของพระองค์ เรื่องของการศึกษา หรือเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้าน และเรายังไม่รู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของพระองค์ว่ามีหน้าตาอย่างไร ทั้งนี้ เรื่องราวที่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกก็คงจะมีมากมาย เพราะจริงๆแล้วพระคัมภีร์ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อสอนเราในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระคัมภีร์มีเอาไว้เพื่อ สอนเราเกี่ยวกับสิ่งที่มนุษย์ต้องเชื่อในเรื่องของพระเจ้าและหน้าที่ที่พระเจ้าทรงต้องการจากมนุษย์

ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะจำเอาไว้ว่า พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่บางสิ่งบางอย่างที่ พระคัมภีร์พูดนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จริงๆแล้วเรื่องพระคัมภีร์พูดนะเป็นสิ่งที่สำคัญจนขนาดที่ว่าถ้าไม่มีพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้เราจะไม่สามารถมีความเข้าใจอย่างแท้จริงของสิ่งใดเลย ขอให้เรามาดูภาพสาธิตในแผนภาพดังต่อไปนี้เพื่อจะอธิบายถึงเรื่องข้างต้น

ในแผนภูมิ A เรามีรูปของคนคนหนึ่งที่เขาพยายามทำความเข้าใจกับโลก (และพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวของเขาเอง) โดยที่ไม่มีการอ้างอิงถึงพระเจ้า ซึ่งที่อาจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นที่นี่เพราะมีการวิวัฒนาการ หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า คนๆนี้ได้เริ่มต้นการเรียนรู้และการสืบเสาะข้อมูลของเขาโดยพยายามค้นหาความลับของธรรมชาติ ด้วยการกระทำเช่นนี้เขาได้กีดกันพระเจ้าออกไปจากการเรียนรู้ของอย่างสมบูรณ์เลยทีเดียว หรือในแผนภาพแรกนี้อาจจะเป็นคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์หรือภูมิศาสตร์หรือวิชาอื่น ๆ โดยไม่เชื่อมโยงถึงพระเจ้าก็ได้ แท้จริงแล้วพระคัมภีร์สอนเราอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเกี่ยวข้องกับพระเจ้า ดังนั้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าปราศจากการตระหนักรู้ถึงความสัมพันธ์นี้แล้ว แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งต่างๆได้อย่างแท้จริงเลย ดังนั้นไม่ว่าจะกี่ครั้งที่มนุษย์ไม่ได้เริ่มต้นที่จะคิดถึงการรับรู้พระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาก็ยังคงอยู่ในความมืดครึ้ม และด้วยเหตุที่พวกเขาอยู่ในความมืดครึ้มนี่เอง พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะเห็นแสงสว่างของพระเจ้าที่อยู่ในโลกนี้ได้อย่างแท้จริง ในแผนภาพ B เราเห็นภาพของมนุษย์ที่มายังแสงสว่างนั้นซึ่งนั่นก็คือพระคัมภีร์ที่ให้เขาได้มีแสงสว่างดังกล่าวนี้ (เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ทรงจัดเตรียมหัวใจเพื่อที่พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นที่ยอมรับและจะได้รับการเชื่อถือ) แต่ขอให้สังเกตตรงนี้ไว้อย่างหนึ่งว่าเราเห็นสองสิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้ อย่างแรกก็คือ สิ่งนี้ทำให้เราเข้าใจว่าความรู้ของพระคัมภีร์ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดใจให้นั้น มีอิทธิพลต่อคนๆนี้ที่จะเชื่อในความจริงและเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้อย่างไร อย่างที่สองเราสามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพที่เขายืนอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าเขาสามารถที่จะตระหนักว่ามีพระบิดาของเขาอยู่ในโลกนี้ และเขาต้องแสวงหาพระสิริของพระเจ้าในทุกๆสิ่งที่เขากระทำ ในโลกแห่งการทรงสร้างอันแสนอัศจรรย์ของพระเจ้า และถ้าเขาเป็นนักประวัติศาสตร์ เขาก็จะศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเพื่อที่จะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าอันไม่สามารถที่จะบิดเบือนได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้นั้นอยู่ในมุมมองของทุกมิติเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้มีเพียงความเชื่อเท่านั้น (ซึ่งหมายถึงความเชื่อของมนุษย์ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้า) ที่จะทำให้เราเดินอย่างถูกต้องต่อไปได้ (ซึ่งนั่นหมายถึงหน้าที่ที่พระเจ้าทรงต้องการจากมนุษย์)

เมื่อบทเรียนมาถึงตรงนี้ท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า คำถามของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้เริ่มต้นที่จะนำเรามาถึงโครงร่างเบื้องต้นของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบที่เหลือทั้งหมด เพราะในคำถามที่ 4-38 เราได้สรุปสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเราให้เชื่อเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้า และในคำถามที่ 39-107 (ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บัญญัติ ความหมายของพระคุณ และการอธิษฐาน) จะเป็นในส่วนของข้อสรุปของหน้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงต้องการจากมนุษย์ อย่างไรก็ตามมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจำเป็นต้องสังเกตในจุดนี้ (1) อย่างแรกก็คือ เราจำเป็นต้องรับรู้ว่า บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นได้มีการเน้นย้ำเกี่ยวกับเรื่องที่เราต้องเชื่อ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นและสามารถพูดได้อย่างทั่วๆไปว่า ในทุกวันนี้ผู้คนเชื่อในสิ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก หรือที่เขาพูดๆกันว่า ¡°ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในสิ่งอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะเชื่อ๐ หรือบางทีก็พูดกันไปว่า ¡°ไม่ว่าอะไรที่มนุษย์เชื่อนั้นก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ตราบใดที่ทำให้เขาคนนั้นมีความจริงใจแล้วก็ทำสิ่งดีต่อคนอื่น¡± ซึ่งก็เป็นไปตามที่สันตะปาปาองค์หนึ่งได้บอกว่า

¡°เรื่องของความเชื่อไม่มีประโยชน์ที่จะมาถกเถียงกัน เพราะว่าความเชื่อของคนหนึ่งอาจจะถูกหรืออาจจะผิดสำหรับชีวิตเขาก็ได้¡±

สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องจริงในแง่หนึ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใด สามารถที่จะบังคับให้มนุษย์คนอื่นชื่ออะไรที่เขาไม่อยากที่จะเชื่อ แต่ก็เป็นจริงเหมือนกันที่ คำพูดนี้ไม่ทำให้เกิดความแตกต่างในเรื่องต่างๆนานาที่มนุษย์เชื่อเลย เพราะแท้จริงแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่า ผู้ใดละเมิดและไม่อยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ใดอยู่ในพระโอวาทของพระคริสต์ ผู้นั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร (2 ยอห์น 9) และยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูยังพูดกับผู้หญิงที่บ่อน้ำนั้นว่า ที่เจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก........ ผู้ซึ่งนมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24) ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรที่จะอันตรายยิ่งไปกว่าการที่เราจินตนาการว่าคนคนหนึ่งสามารถที่จะมีชีวิตอย่างถูกต้องในขณะที่เขามีความเชื่อที่ผิด เพราะพระเยซูยังกล่าวต่อไปว่า ต้นไม้ที่ดีไม่สามารถที่จะให้ผลเลวและต้นไม้ที่เลวก็ไม่สามารถที่จะให้ผลดีได้ (มัทธิว 7:28) นี่จึงเป็นสาเหตุให้ บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นได้บอกเอาไว้ว่าพระคัมภีร์ได้บอกถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า (2) อย่างที่สองเราจำเป็นที่จะต้องรับรู้เอาไว้ว่า เมื่อมนุษย์มีความเชื่อที่ถูกต้อง เขาก็จะทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาเขาให้ทำ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อที่ถูกต้องจนกว่าจะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านอยากกอดบอกในพระธรรมยากอบ บท 2 ข้อ 14 ที่ให้เราสำแดงความเชื่อด้วยการกระทำ

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า เราจะไม่มีภาพที่แท้จริงของชีวิตคริสเตียน ถ้าบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบไม่ได้เน้นย้ำเราถึงทั้งสองอย่าง ซึ่งนั่นก็หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า และหน้าที่ที่พระเจ้าทรงต้องการจากมนุษย์ ซึ่งการเน้นย้ำทั้งสองส่วนแบบนี้ แตกต่างจากการเรียนหลักข้อเชื่อที่ตายแล้วเพราะการเรียนแบบนั้น จะเป็นการเรียนเพื่อที่จะรู้ว่าพระคัมภีร์สอนอะไรและก็เข้าใจในหลักคำสอนเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีการ อภิปรายการถกเถียงกันไปมาไม่รู้จบ แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ตามวิถีทางที่พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขามี ด้วยเหตุนี้เราจะต้องตระหนักว่าการกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิด และเราจะต้องตระหนักว่าบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้น ไม่ได้เพียงเพื่อให้เรามีความเชื่อเท่านั้นแต่ยังสอนให้เรารู้ว่าความเชื่อนั้นจะยังไม่เป็นสิ่งที่จริงแท้ จนกว่าจะนำไปสู่การกระทำที่ถูกต้อง

ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องพิจารณาการซึ่งนั่นก็คือ พระคัมภีร์ได้บอกถึงกฏอันหมายถึงบัญญัติ 10 ประการว่าเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่องค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เราได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชอบธรรมโดยทางความเชื่อ (กาลาเทีย 3:24) สิ่งนี้หมายความว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะมาถึงความเชื่อที่แท้จริงในพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดได้ จนกว่าเขาจะตระหนักในความจำเป็นของตัวเองที่จะมีพระองค์ หรือพูดในอีกอย่างได้ว่า ธรรมบัญญัตินั้นได้ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระธรรมโรมบอกว่าด้วยธรรมบัญญัตินั่นเองทำให้รู้ถึงบาปอันปรากฏ (โรม 3:20) ดังนั้นคำถามที่จะต้องถามน่าจะเป็นอย่างนี้ก็คือ ทำไมบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ จึงพูดถึงเรื่องธรรมบัญญัติก่อนแล้วหลังจากนั้นถึงมาพูดเรื่องความเชื่อในพระคริสต์ที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะได้รับความรอด ในการตอบคำถามนี้เราสามารถที่จะพูดได้ว่า (1) ไม่ได้เป็นสิ่งผิดพลาดบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้น พูดถึงเรื่องของบัญญัติก่อนแล้วหลังจากนั้นจึงพูดถึงเรื่องความเชื่อ เพราะว่าพระเจ้าเองก็ให้บัญญัติก่อนที่จะให้พระผู้ช่วยให้รอดเช่นกัน (2) อย่างไรก็ตามมีเหตุผลดีๆมากมายที่จะไม่พูดถึงบัญญัติก่อนในบทเรียนพระคัมภีร์เพื่อการถามตอบ แล้วเหตุผลนั้นคืออะไร (a) เหตุผลอย่างแรกก็คือ มีความเป็นไปได้ที่โดยการพูดถึงบัญญัติก่อนแล้วค่อยมาพูดถึงความเชื่อในพระคริสต์เป็นลำดับที่สอง จะทำให้ความประทับใจที่มีในพระคริสต์นั้นมีความสำคัญน้อยกว่าความประทับใจในบัญญัติ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดมาก เพราะพระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด (b) อย่างที่สองก็คือ มีความเป็นไปได้ว่าผู้อ่านที่ไม่ได้อ่านอย่างตั้งใจ อาจจะจินตนาการไปว่าความรอดนั้นมาโดยการกระทำของเราตามพระบัญญัติเดิม เหมือนกับที่บางคนพูดว่า ¡°..ให้คุณรักษาบัญญัติก่อนแล้วหลังจากนั้นพระคริสต์จะยอมรับคุณ...¡± ซึ่งการพูดเช่นนี้ก็เป็นการผิดโดยสิ้นเชิง เพราะพระคัมภีร์ได้บอกว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถที่จะได้รับความรอดโดยการถือรักษาธรรมบัญญัติ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครสามารถรักษาธรรมบัญญัติได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าต้องการยกเว้นพระเยซูคริสต์ (c) เหตุผลอย่างที่ 3 ก็คือมีความเป็นไปได้ที่การพูดถึงธรรมบัญญัติก่อนแล้วค่อยมาพูดถึงความเชื่อในพระคริสต์ที่หลังนั้น จะทำให้เราคิดไปเองว่า เราไม่ต้องการธรรมบัญญัติของพระเจ้าหลังจากที่เราเชื่อในพระคริสต์แล้ว ซึ่งในกรณีนี้ก็เป็นไปตามที่บางคนพูดว่า ตอนนี้เรามาถึงพระคริสต์แล้ว เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้บัญญัติบอกเราว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ผิดอย่างสิ้นเชิงอีกเหมือนกัน คำว่าบัญญัตินั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้เราเพื่อที่จะให้เราเห็นความจำเป็น ที่เราจะต้องมีพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเราเท่านั้น แต่ธรรมบัญญัติ ยังได้มอบให้เราเพื่อที่จะแสดงให้เราเห็นว่าเราควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์หลังจากที่เรามีพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เพราะยอห์นได้พูดในจดหมายฝากของยอห์นฉบับที่ 1 ว่า นี่คือความรักของพระเจ้าซึ่งก็คือการที่ผู้นั้นได้ถือรักษาบัญญัติของพระองค์

สรุปแล้วก็คือ ขอให้เราเน้นย้ำข้อเท็จจริงที่ว่าบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นได้ปฏิเสธการที่จะต้องเลือกระหว่างคริสตศาสนาในฐานะที่เป็นแค่หลักข้อเชื่อ กับคริสต์ศาสนาในฐานะที่เป็นชีวิต เพราะคริสตศาสนาที่แท้จริงต้องประกอบไปด้วยทั้งสองอย่างข้างต้นเหมือนกับต้นไม้ที่ดีและผลดีของต้นไม้นั้นเป็นสิ่งคู่กันนั่นเอง

คำถาม

1 คำว่า ¡°สอนหลักการใหญ่ๆ¡± นั้นหมายความว่าอะไรในบทเรียนพระคัมภีร์เพื่อการถามตอบ
2 มีสิ่งใดบ้างที่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้จากพระคัมภีร์ ยกตัวอย่างประกอบด้วย
3 ให้บอกถึงชื่อวิชาที่พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงเนื้อหาของวิชานั้นในพระคัมภีร์เลย
4 คนในแผนภาพA เข้าใจโลกได้อย่างถ่องแท้หรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
5 ทำไมคนในแผนภาพ B ถึงเข้าใจโลกอย่างแท้จริง
6 ให้อธิบายคำเหล่านี้จากพระคัมภีร์ ในความสว่างของพระองค์เท่านั้นเราจึงจะเห็นความสว่าง
7 ส่วนหลักๆที่สำคัญ 2 ส่วนของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบคืออะไร
8 บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบเน้นที่ส่วนใดก่อนทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
9 ความเชื่อที่แท้จริงอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ ขอให้อธิบาย
10 ผิดไหมที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นพูดถึงเรื่องธรรมบัญญัติก่อนที่จะพูดถึงเรื่องความเชื่อ ทำไมจึงคิดเช่นนั้น
11 อะไรคือเหตุผลบางประการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในการเน้นความเชื่อ ก่อนธรรมบัญญัติ
12 อะไรคือความจริงสำคัญที่สุด ที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากคำถามเหล่านี้




บทที่ 4

คำถามที่ 4 พระเจ้าคืออะไร

คำตอบ พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด ทรงเป็นนิรันดร์ และไม่เปลี่ยนแปลง ในพระองค์นั้นมี สติปัญญา ฤทธิ์เดช ความบริสุทธิ์ ความยุติธรรม ความดีงาม และความจริง

1 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (ยอห์น 4:24)

2 ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล (สดุดี 90:2)

3 เพราะว่า เราคือพระเยโฮวาห์ไม่มีผันแปร (มาลาคี 3:6)

4 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" (อพยพ 3:14) ความยิ่งใหญ่เป็นของพระเจ้า........ ความเข้าใจของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด (สดุดี 147:5) และทั้งวันทั้งคืนพวกเขาไม่หยุดพักเลย ตามร้องบอก กันว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด (วิวรณ์ 4:8) พระเยโฮวาห์เสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า "พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์พระเจ้า ผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความเมตตาและความจริง (อพยพ 34:6)

พระเยซูเองเป็นผู้ที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24) บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ นั้นยืนยันถึงข้อความนี้ ด้วยการให้ความหมายถึงธรรมชาติของวิญญาณนั้นซึ่งเรียกว่าพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณนั้น ผู้ซึ่งมีทั้งลักษณะที่เที่ยงแท้ ในการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นพระองค์แยกพระองค์เองออกจากสิ่งอื่น ดังนั้นถ้าเราบอกแค่ว่า ¡°พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ¡± ก็อาจจะให้ความกระจ่างได้อย่างไม่สมบูรณ์นักเพราะว่ายังมีทูตสวรรค์อีกเยอะแยะมากมายที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นวิญญาณที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ (ฮีบรู 1:14) ดังนั้นเมื่อเราอธิบายว่าพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณเราก็ต้องอธิบายพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณที่แยกออกมาจากสิ่งอื่นๆด้วย ไม่เช่นนั้นคำอธิบายของเราก็จะเป็นแค่ศาสนาที่นับถือวิญญาณต่างๆมากมายโดยทั่วไป

อย่างไรก็ตามคำว่า ¡°วิญญาณ¡± ที่พระคัมภีร์หมายถึงพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณนั้น หมายความว่าอย่างไร ในพระคัมภีร์บอกว่า มนุษย์จะรู้สิ่งต่างๆได้จากวิญญาณของเขาซึ่งอยู่ในตัวเขา (1 คร 2:11) จาก พระคัมภีร์ข้อนี้เราจะเห็นได้ว่าการรู้ถึงสิ่งต่างๆนั้นเป็นกิจกรรมที่วิญญาณของมนุษย์ได้กระทำ แล้ววิญญาณของมนุษย์นี่เอง ที่สามารถเปรียบเทียบได้กับพระเจ้า เพราะว่ามนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาตามพระลักษณะของพระเจ้า เราจะเห็นได้ว่าวิญญาณของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ เป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น ไม่สามารถที่จะจับต้องสัมผัสได้ ไม่มีน้ำหนัก และไม่มีปริมาตร หรือบางที่เราอาจจะพูดได้ว่าวิญญาณของมนุษย์นั้นก็เป็นเหมือนความคิดของมนุษย์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพูดอย่างนั้นเราก็อาจจะพูดให้รัดกุมขึ้นอีกว่า เรายังคงต้องสารภาพว่าการที่เราจะให้คำนิยามว่าวิญญาณนั้นเป็นอย่างไรยังเป็นเรื่องยากสำหรับเราอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราถามว่าวิญญาณคืออะไร เราก็ต้องสารภาพว่าเราไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างสมบูรณ์นัก ทั้งนี้มีองค์ประกอบที่ลึกลับอยู่ตรงนี้ซึ่งเราไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เมื่อเราสารภาพกับพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณเราก็ปฏิเสธว่าพระเจ้านั้นทรงมีสภาพที่เป็นวัตถุ เหมือนอย่างที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบสำหรับเด็กนั้น ได้เขียนเอาไว้ว่าพระเจ้าไม่ได้มีร่างกายเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าไม่สามารถจะมองเห็นได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเห็นพระเจ้าได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนจะเห็น พระเจ้าได้ด้วยตาฝ่ายเนื้อหนังของเขา (ยอห์น 1:18, 1 ยอห์น 4:12, เป็นต้น) ทั้งนี้เป็นเรื่องที่บาปในการที่จะพยายามทำให้พระเจ้ามองเห็นได้โดยการปั้นรูปปั้น หรืออนุสาวรีย์ใดๆให้พระองค์ (อพยพ 20:4) และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็ได้ตั้งคำถามเอาไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นเหมือนผู้ใดเล่า แล้วสิ่งใดเล่าที่จะเปรียบเทียบกับพระองค์ได้ (40:18) จงยกสายตาของเจ้าขึ้นมองให้สูง ซึ่งนั่นเป็นคำตอบของคำถามของเขาเองที่ว่า แล้วใครเล่าที่ได้ เนรมิตสร้าง สิ่งเหล่านี (40:26)

ทางเดียวที่เราสามารถจะเห็นพระเจ้าได้ก็คือการเห็นพระองค์โดยทางอ้อม หมายความว่าเราเห็นพระองค์ จากภาพสะท้อนของพระองค์ในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ซึ่งถ้าจะดูในแผนภาพก็จะเขียนว่าใน part 1 เราเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่ในกระจก เราเห็นได้ชัดว่ามี 2 สิ่งที่เป็นจริง (1) อย่างแรกก็คือ เราเห็นว่าทั้งสองส่วนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะว่าข้างนอกกระจกนั้นเป็นสิ่งที่เป็นจริงและมีชีวิต แต่ข้างในกระจกนั้นไม่ใช่ (2) เราเห็นได้ว่าทั้งสองส่วนนั้น เหมือนกันทุกส่วน เพราะว่าภาพสะท้อนในกระจกเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้นในทุกๆรายละเอียด

อย่างไรก็ตามเมื่อเราพูดว่ามนุษย์นั้นเป็น ภาพลักษณ์หรือพระฉายของพระเจ้านั้นเรา เห็นถึงสองสิ่งดังต่อไปนี้คือ (1) เราเห็นว่าพระเจ้านั้นทรงแตกต่างกับมนุษย์อย่างสิ้นเชิง (2) แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่สอง เราก็ยังเห็นว่า มนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาในพระลักษณะอย่างถูกต้องของพระเจ้า สิ่งที่เราต้องการที่จะเรียนรู้ในส่วนนี้ก็คือการที่เราจะมองเห็นให้ได้ว่า บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นสอนให้เราคิดถึงพระเจ้า ในทั้ง 2 ทาง ซึ่งเราจะเห็นสิ่งนี้ใน part 2 (โดยไม่ต้องวาดภาพของพระเจ้าเพราะว่าเป็นการไม่สมควร) เราจะเห็นสิ่งนี้ก็คือ พระเจ้าทรงมีพระลักษณะที่เที่ยงแท้ ซึ่งพระองค์ทรงไม่แบ่งปันพระลักษณะนั้นให้กับมนุษย์พระลักษณะดังกล่าวนั้นก็คือพระเจ้าทรงไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ลักษณะเหล่านี้เราเรียกว่าลักษณะที่ไม่เชื่อมโยงมาถึงมนุษย์ เพราะลักษณะเหล่านั้นเป็นของพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ไม่ได้ให้พระลักษณะเหล่านี้แก่มนุษย์ ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบได้กับการที่เด็กคนนั้นส่องกระจกแต่ไม่ได้แบ่งเนื้อแบ่งหนังของตัวเองให้กับลักษณะในกระจก ด้วยเหตุนี้เราจึงสรุปได้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงให้แก่มนุษย์ก่อนที่มนุษย์จะล้มลงในความบาปนั้นก็คือ สติปัญญา ฤทธิ์เดช เป็นต้น ซึ่งเราเรียกลักษณะเหล่านี้ว่าเป็นลักษณะที่เชื่อมโยงมาถึงมนุษย์ ทั้งนี้ พระเจ้าได้ให้ลักษณะเหล่านี้แก่มนุษย์เพื่อที่ว่ามนุษย์จะเป็นเหมือน พระเจ้า ซึ่งก็เปรียบเทียบได้กับการที่เด็กคนนั้น ให้ลักษณะบางอย่างแก่ภาพสะท้อนของเขาที่อยู่ในกระจกเช่นสีของผมและสีของตา และรอยยิ้มที่เหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น

ตอนนี้มาถึงส่วนที่ยากที่สุดแต่ก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดด้วย ซึ่งนั่นก็คือการที่เราจะต้องตระหนักว่า ถึงแม้ว่าเมื่อเราพูดถึงเรื่องของลักษณะที่เชื่อมโยงมาถึงมนุษย์ เราต้องจำไว้ว่ามีความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและ พระลักษณะของพระองค์ (ซึ่งหมายถึงมนุษย์) ซึ่งก็เหมือนกับมีความแตกต่างระหว่างเด็กคนนั้นกับภาพสะท้อนของเขาในกระจก ให้เราลองมาพิจารณากันดังนี้คือ เด็กคนนั้นและภาพสะท้อนในกระจกนั้นมีรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มเดียวกันหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ใช่เลย เพราะว่ารอยยิ้มของเด็กคนนั้นเป็นรอยยิ้มที่เป็นความจริง แต่รอยยิ้มของภาพที่สะท้อนนั้นไม่ใช่รอยยิ้มจริง มันเป็นเพียงภาพสะท้อนของรอยยิ้มนั่นเอง และไม่ว่าจะอย่างไรรอยยิ้มของเด็กคนนั้น ก็เป็นรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่กว่าเพราะว่าเป็นของจริง และนี่แหละเมื่อเราพูดถึงลักษณะที่เชื่อมโยงมาถึงมนุษย์ที่พระเจ้าทรงให้ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ฤทธิ์เดช หรือความบริสุทธิ์ สำหรับพระเจ้าแล้วสิ่งเหล่านี้นั้นมีความยิ่งใหญ่มากกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้ หรือจะพูดได้อีกทางหนึ่งก็คือ พระสิตปัญญาของพระเจ้านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และเป็นสติปัญญาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็เป็นไปแบบเดียวกับในเรื่องของฤทธิ์เดชของพระองค์ เพราะฤทธิ์เดชของพระองค์นั้นเป็นฤทธิ์เดชที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นฤทธิ์เดชนิรันดร์ และเป็นฤทธิ์เดชที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรสติปัญญาของมนุษย์หรือฤทธิ์เดชของมนุษย์ ก็ยังมีจุดเริ่มต้นและมีจุดสิ้นสุด เป็นสิ่งที่ชั่วคราว แล้วเปลี่ยนแปลงไปมาได้ ซึ่งก็เปรียบเทียบได้ว่าเส้นผมหรือดวงตาของเด็กคนนั้นเป็นความจริงอยู่เสมอ แต่เส้นผมและดวงตาของภาพสะท้อนในกระจก ไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใดเลย

แต่ในตอนนี้เราจะต้องพิจารณากันอย่างสั้นๆถึงคำถามสองประการ ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราศึกษาบทเรียน พระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั่นก็คือ (1) เมื่อพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและพระคัมภีร์จะพูดถึงพระองค์ได้อย่างไรว่า พระองค์ทรงมีอวัยวะต่างๆในร่างกาย เพราะทั้งนี้เราก็ได้อ่านถึงพระหัตถ์ของพระเจ้า (ยชว 4:24) พระเนตรของพระเจ้า (1 พงศ์กษัตริย์ 15:5) แล้วยังมีอีกหลายที่ในพระคัมภีร์ หรือแม้แต่ในพระธรรมอพยพ 24:10 เราก็จะได้อ่านว่าโมเสสและคนอื่นๆได้เห็นพระเจ้าของอิสราเอล แล้วได้อ่านว่าพระเจ้าทรงซ่อนโมเสสไว้ในซอกหิน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้อพระคัมภีร์บางข้อก็ได้พูดถึง พระเจ้าในภาษาที่มนุษย์ใช้ เพื่อที่จะทำให้มนุษย์นั้นสามารถที่จะเข้าใจพระเจ้าได้ง่ายขึ้นตามรูปแบบความคิดของเขา สิ่งนี้จึงทำให้มนุษย์คิดไปว่าพระเจ้านั้นมีรูปร่าง แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักเอาไว้ว่าแม้แต่ทูตสวรรค์ผู้ซึ่งเป็นวิญญาณเหมือนกันก็สามารถที่จะสำแดงตนเองโดยการพูดคุยกับมนุษย์ได้ ดังนั้นพระคริสต์ก็เช่นเดียวกันพระองค์ทำเช่นนี้ ในสมัยของพระคัมภีร์เดิม (ให้ดูในปฐมกาล 18:1-5.16-25 ) ทั้งนี้ มีสิ่งที่ คาลวินบอกว่า ¡°เป็นการสำแดงล่วงหน้าของการปรากฏในอนาคต¡± และแน่นอนพระคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระเจ้าของเรา ซึ่งมาปรากฏเป็นมนุษย์โดยมี มือและมีเท้าจริงๆในภายหลัง (2) อย่างที่สองก็คือถ้าพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมบางครั้งในพระคัมภีร์ถึงพูดถึงพระองค์เสมือนว่าพระองค์มีการเปลี่ยนแปลงเช่นในปฐมกาลบทที่ 6:6 เราได้อ่านว่า พระเจ้าได้ทรงเสียพระทัยที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลก ทั้งนี้เมื่อมนุษย์เสียใจหรือกลับใจจากสิ่งต่างๆ นั่นก็แสดงว่ามนุษย์มีการเปลี่ยนใจของเขา แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าจะเปลี่ยนใจได้อย่างไรถ้าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คำตอบของคำถามนี้ก็คือการที่เมื่อพระคัมภีร์พูดว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งทีพระเจ้าทรงกระทำ พระคัมภีร์ได้บอกเราเป็นอย่างแรกเลยว่าเป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปก่อนอย่างมากมาย มนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงในท่าทีและความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเจ้า และเนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงในตัวมนุษย์นี้เอง จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนท่าทีของพระเจ้าในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในพระเจ้าจริงๆ เพราะพระเจ้าทรงบริสุทธิ์อยู่เสมอ แต่เป็นเพราะเมื่อมนุษย์ทำความบาปต่อพระเจ้า จึงทำให้พระองค์ทรงมีพระพิโรธอันบริสุทธิ์ที่พระองค์จะแสดงต่อความบาปนั้น และเหตุผลอีกประการที่ทำให้ พระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั้นก็คือการที่พระองค์ไม่ปฏิเสธพระองค์เอง (ดูใน 2 ทิโมธี 2:3) หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พระเจ้าทรงตั้งพระทัยเสมอในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระลักษณะแห่งความสมบูรณ์ซึ่งเป็นธรรมชาติของพระองค์ ดังนั้นเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอันแสนดี กลายมาเป็นสิ่งที่เลวทราม พระองค์ก็ทรงจำเป็นที่จะต้องมีความเสียพระทัย และที่พระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงมีความบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความบริสุทธิ์นี้ของพระองค์ได้นั่นเอง

คำถาม

1 คำว่า ¡°วิญญาณ¡± หมายความว่าอย่างไร
2 จงให้ความหมายของคำว่า ¡°ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด¡± ¡°นิรันดร์กาล¡± และ ¡°การไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้¡±
3 ทำไมการบอกแค่ว่า ¡°พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ¡± จึงเป็นการอธิบายที่ยังไม่เพียงพอ
4
5 เราทั้งหลายมีส่วนไหนที่เป็นเหมือนวิญญาณ
6 สิ่งใดที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการ ถามตอบ ได้สอนเราให้ปฏิเสธเพื่อคงไว้ซึ่งความยำเกรงพระเจ้า
7 ลักษณะสองประการที่เป็นของพระเจ้าคืออะไร
8 ให้อธิบายความหมายของลักษณะแต่ละประการข้างต้น
9 ลักษณะต่างๆที่เชื่อมโยงมาถึงมนุษย์นั้น เหมือนกันหรือไม่ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ จงให้คำอธิบายในสิ่งนี้
10 พระคัมภีร์หมายความว่าอย่างไรเมื่อพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงมี พระหัตถ์ หรือทรงมีพระบาท
11 พระคัมภีร์หมายความว่าอย่างไรเมื่อพระคัมภีร์พูดว่าพระเจ้าทรงกลับพระทัย
12 ให้อธิบายแผนภาพในบทเรียนนี้ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงภาพของการสอนบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ



บทที่ 5

คำถามที่ 5 มีพระที่อ้างว่าเป็นพระเจ้ามากกว่า 1 องค์หรือไม่
คำตอบ มี แต่พระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้นเป็นพระเจ้าที่แท้จริง

คำถามที่ 6 มีความเป็นบุคคลอยู่กี่บุคคลใน พระลักษณะของพระเจ้า
คำตอบ มีอยู่ 3 บุคคลในพระลักษณะของพระเจ้าคือ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ทั้ง 3 บุคคลนี้ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว ทรงมีเนื้อแท้ และทรงมีความเท่าเทียมในฤทธิ์เดชและอานุภาพ

1 พระเจ้าองค์อื่นไม่มี มีแต่พระเจ้าองค์เดียว (1 โครินธ์ 8:4)

2 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัทธิว 28:19)

3 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน (2 โครินธ์ 13:14)

คำถามสองคำถามของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนี้ มีเอาไว้เพื่อเราได้เห็นถึงหลักข้อเชื่อที่สำคัญที่สุดในความเชื่อของคริสเตียน ซึ่งนั่นก็คือความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพ มีบางคนบอกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดหรืออาจจะเป็นมุมมองที่บกพร่องในเรื่องของพระเจ้าก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามให้เรามาพิจารณาร่วมกันถึงความจริงที่สำคัญที่สุดอันนี้

หลักข้อเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพสามารถแสดงได้ เป็น 3 ประการด้วยกันคือ (1) มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว (2) พระบิดาทรงเป็นพระเจ้า พระบุตรทรงเป็นพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า (3) พระเจ้าทั้งสามพระภาคนี้ทรงมีพระลักษณะที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเราสามารถที่จะสังเกตได้ว่าในคำอธิบายดังกล่าวของหลักข้อเชื่อนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เราจะต้องลงรายละเอียดต่อไป ซึ่งนั่นก็คือความจริง ความเป็นเอกพจน์ และความเป็นพหูพจน์ของพระเจ้าในเวลาเดียวกัน ความเป็นเอกพจน์ (หรือความเป็นหนึ่งเดียว)ของพระองค์นั้น ได้รับการสำแดงในข้อเท็จจริงที่ว่ามีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และความเป็นพหุพจน์ (หรือความมีมากกว่าหนึ่ง) ของพระองค์นั้นได้รับการสำแดงในข้อเท็จจริงที่ว่า มี สามพระลักษณะของบุคคลผู้ซึ่งทรงเป็นพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ในหลายครั้งทีเดียว ที่คำสอนแบบนี้เป็นสิ่งที่รับกันไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิสอนผิดอย่างลัทธิพยานพระยะโฮวาห์ ได้ต่อต้านแนวคิดในเรื่องตรีเอกานุภาพนี้อย่างรุนแรง พวกเขาบอกว่าพวกที่เชื่อหลักข้อเชื่อนี้ เป็นพวกที่นับถือในพระเจ้าสามองค์ พวกเขาบอกว่าเขาไม่นิยมความเป็นสามของพระเจ้า แต่เขานิยมว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่ามีเพียงแค่บุคคลเดียวที่เป็นพระเจ้าก็คือพระบิดาหรือพระเยโฮวาห์ นอกจากนี้พวกเขายังสอนว่าพระเยซูนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการทรงสร้าง ( ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นอยู่โดยพระองค์เองเหมือนกับพระบิดา) และพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ทรงเป็นแค่ชื่อของฤทธิ์เดชของพระเจ้า (ไม่ได้เป็นบุคคลเหมือนพระบิดา) พวกนิยมว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น (เช่นพวกพยานพระยะโฮวาห์เป็นต้น แต่จริงๆยังมีอีกหลายพวก) ได้ยึดถือว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว แต่ปฏิเสธว่ามีพระลักษณะที่แตกต่างกัน 3 ลักษณะของพระเจ้า นอกจากนี้ยังมีพวกที่ตกขอบไปอีกขั้วหนึ่งก็คือพวกที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งเชื่อว่ามีหลายต่อหลายสรรพสิ่งที่เรียกว่าเป็นพระเจ้าได้ แต่พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าหลายองค์เหล่านั้น มีเนื้อแท้หรือ มีสภาพเป็นหนึ่งเดียว พวกมอร์มอนเชื่ออย่างนี้

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพวกก็คือพวกที่นิยมว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว หรือพวกที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ เป็นพวกที่ไม่ยอมทำความเข้าใจกับหลักข้อเชื่อเรื่อง ตรีเอกานุภาพ อย่างไรก็ตาม เราต้องทำความเข้าใจสิ่งนี้ในมุมมองของพระเจ้า ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ เพราะพระคัมภีร์บอกว่า เพราะว่าความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และวิถีทางของเราก็ไม่ใช่ วิถีทางของเจ้า (อิสยาห์ 55:8) ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องจำเอาไว้เสมอว่าหลักข้อเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถที่จะเชื่อได้ง่ายๆเพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีเหตุผลสำหรับมนุษย์ ดังนั้นเหตุผลเดียวที่เรามีสำหรับการเชื่อในหลักข้อเชื่อนี้ ก็คือการที่พระคัมภีร์ไม่อนุญาตให้มีมุมมองแบบอื่นเกี่ยวกับพระเจ้านอกจากมุมมองแบบตรีเอกานุภาพ ทั้งนี้ ขอให้เรามาพิจารณา ความจริงจากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ กล่าวคือ

(1) พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างชัดเจนว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าไม่มีพระเจ้าอื่นเลย (1 พงศ์กษัตริย์ 8:60) แม้จะมีหลายสิ่งที่เขาเรียกว่าเจ้าในสวรรค์และแผ่นดินโลกเรากับว่ามีพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้ามากมาย แต่ว่าสำหรับเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียว ( 1 โครินธ์ 8:5-7) เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า (อิสยาห์ 44:6) ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า ไม่มีความคิดเห็นใดที่เป็นการเน้นย้ำอย่างเสมอต้นเสมอปลายจาก พระคัมภีร์มากกว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้อีกแล้ว ว่ามีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงดำรงอยู่

(2) นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังได้สอนเราอย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่แค่เพียงพระบิดาเท่านั้น แต่ยังมีพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งทรงเป็นพระเจ้า ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าพระบิดาเป็นพระเจ้าเพราะว่าเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์อีกเช่นกันที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว ( ยอห์น 1:18) และพระคัมภีร์ยังได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าพระบุตรนั้นทรงเป็นพระเจ้าซึ่งก็คือพระธรรมสดุดี 45:6 ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ที่บ่งบอกถึงการมาบังเกิดของพระเมสสิยาห์ ดังนี้ พระที่นั่งของพระองค์ซึ่งพระเจ้าประทานนั้นดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ และในอิสยาห์ 9:6-7 กล่าวว่า มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน แล้วเขาจะขนานนามท่านว่า ที่ปรึกษามหัศจรรย์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์และองค์สันติราช นอกจากนี้ในพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังได้บอกเอาไว้อีกว่า พระวาทะเป็นพระเจ้า (ยอห์น 1:1) และเมื่อโธมัส ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย ได้ตระหนักถึงความจริง เขาก็มาคุกเข่าลงต่อหน้าพระเยซูและพูดกับพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าและพระเจ้าของข้า (ยอห์น 20:28) ด้วยเหตุนี้เราจึงสรุปได้ว่าร พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตร และแน่นอนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และเราก็ยังค้นพบในพระคัมภีร์ใหม่ด้วยว่า พระคริสต์ทรงมีพระลักษณะของพระเจ้า พระองค์ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง (ยอห์น 1:4, 5:26) พระองค์ทรงสามารถอยู่ทุกที่ได้ (มัทธิว 28:20) พระองค์ทรงดำรงอยู่แล้วในปฐมกาล (ยอห์น 1:1) นอกจากนี้เรายังต้องตระหนักว่าในพระคัมภีร์ใหม่ก็ได้บันทึกเอาไว้อีกว่าพระองค์ทรงสำแดงพระราชกิจของพระเจ้า "สิ่งต่างๆก็ได้รับการกระทำโดยพระองค์" (ยอห์น 1:3) พระองค์ทรงเป็นเนื้อแท้ของทุกสิ่ง (โคโลสี 1:17; ฮีบรู 1:3) สิ่งใดที่พระบิดาทำสิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน (ยอห์น 5:19) และสิ่งที่เราเห็นจาก พระธรรมยอห์น 20:28 ก็คือพระองค์ได้รับการนมัสการในฐานะพระเจ้า ดังนั้นถ้าพระบุตร ผู้ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระเจ้า และทรงมีพระลักษณะของพระเจ้า ทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้า และได้รับการนมัสการ ซึ่งเป็นการนมัสการที่มีต่อพระเจ้า แล้วเราจะปฏิเสธเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรนอกจากสรุปว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งนี้ การพิสูจน์แบบเเดียวกันก็ยังสามารถที่จะใช้ในการพิจารณาเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ด้วย เพราะว่าหลักฐานในเรื่องนี้ก็มาจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถใช้วิธีการเดียวกันในการพิจารณา อย่างไรก็ตามที่นี้จะให้ตัวอย่างแค่เพียงตัวอย่างเพียงเล็กน้อยของหลักฐานดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งก็คือในพระธรรมกิจการ 5:3-4 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับการเรียกว่าเป็นพระเจ้า โดยเมื่ออัครทูตเปโตร ได้พูดว่าอานาเนียว่า ทำไมซาตานจึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์และทำให้เช่าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งเอาไว้........ เจ้าไม่ได้โกหกมนุษย์แต่เจ้าโกหกพระเจ้า และใน 1 โครินธ์ 2:10 กล่าวว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทำพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งนั้นเป็นความล้ำลึกของพระเจ้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสรุปว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีพระลักษณะของพระเจ้านั่นเอง นอกจากนี้เรายังเห็นได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำพระราชกิจซึ่งพระเจ้าเท่านั้นสามารถกระทำได้ เมื่อพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต (ยอห์น 6:63) และพระคัมภีร์ก็ยังบันทึกเอาไว้อีกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต้องได้รับการนมัสการเช่นเดียวกับพระเจ้า เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่าบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ (มัทธิว 12:31) ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นได้รับการเรียกขานว่าเป็นพระเจ้า และพระองค์ทรงมีพระลักษณะต่างๆของพระเจ้า นอกจากนี้พระองค์ยังทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้า และได้รับการนมัสการเฉกเช่นพระเจ้า ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า

(3) พระคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่าทั้ง 3 พระลักษณะบุคคลของพระเจ้า ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพระลักษณะนี้ มีความเท่าเทียมกันในฤทธิ์เดชและพระสิริ ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ของคริสตจักรยุคแรก มีความผิดพลาดร้ายแรงอยู่ 2 ประการ ที่มนุษย์ได้ผิดพลาดเมื่อพวกเขาพยายามที่จะแก้ไขปัญหาของความลึกลับของเรื่องตรีเอกานุภาพนี้ (a) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่ม "Modalism" ซึ่งมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นบุคคลเดียวแต่พระองค์ทรงเล่นบทบาทแตกต่างกัน 3 บทบาท เหมือนกับนักแสดงผู้ซึ่งปรากฏในละครเรื่องเดียวกันแต่เล่นคนเดียว 3 บท ซึ่งก็คือ นักแสดงคนนี้เล่นบทอย่างหนึ่งเสร็จแล้วก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพื่อออกมาเล่นเป็นบทอีกอย่างหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าในขณะที่พระเจ้าทรงเล่นบทเป็นพระบิดา ในขณะนั้นไม่มีพระบุตรและยังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเหตุผลที่แนวคิดแบบนี้ได้รับการปฏิเสธโดยคริสตจักรอย่างไม่ต้องสงสัยนั้นก็เพราะว่า ทั้ง 3 บุคคลซึ่งเป็นพระลักษณะของพระเจ้านั้นได้ทรงสำแดงพระองค์เองในเวลาเดียวกัน ซึ่งหมายถึงตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมา โดยพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่า " เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้วก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และในทันใดนั้นฟ้าก็แหวกออก แล้วพระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกพิราบสถิตบนพระองค์ และนี่แหละมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก (มัทธิว 3:16-17) จากข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะเห็นได้ว่า ในขณะที่พระเยซูคริสต์ยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเสด็จลงมา ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่ พระบิดาทรงพูดลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะเป็นแค่คนเดียวแล้วเล่นหลายบทได้อย่างแน่นอน (b) อีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า Monarchianism ซึ่งมาจากคำศัพท์ว่า "Monach" ที่มีความเกี่ยวโยงไปถึงอำนาจของกษัตริย์ แนวคิดเบื้องต้นของกลุ่มนี้ก็คือการที่ว่า 1 ใน 3 บุคคลของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถจะเป็นกษัตริย์ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จึงบอกว่าพระบิดานั้น มีความยิ่งใหญ่กว่าพระบุตรและมีความยิ่งใหญ่กว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย พวกเขาไม่เชื่อว่าพระลักษณะแห่งบุคคลทั้งสามนี้มีความเท่าเทียมกันในฤทธิ์เดชและในอานุภาพ อย่างไรก็ตามพวกเขาอ้างโยงพระคัมภีร์ แบบเข้าข้างตัวเองอย่างผิดๆ ซึ่งมาจากยอห์น 14:28 ว่า เพราะพระบิดานั้นทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา อย่างไรก็ตามถ้าเรามองดูข้อความเพียงแค่นี้ เ ราก็จะเริ่มต้นที่จะรู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเราอ่านข้อความใน พระธรรมฟิลิปปี 2:6 เราก็จะสามารถเห็นได้ว่าทำไมคริสตจักรถึงปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวนี้ โดยข้อ พระคัมภีร์ดังกล่าวได้กล่าวว่า ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า แต่ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเมื่อพิจารณาจากความ เป็นพระเจ้านิรันดร์แห่งธรรมชาติของพระคริสต์แล้ว พระคริสต์นั้นทรงเท่าเทียมกับพระเจ้า และเมื่อพิจารณาจากธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ของพระองค์ประกอบกับการที่พระองค์ทรงพอพระทัยลง พระเยซูก็จึงพูดว่าพระบิดาเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ ดังนั้นให้จำไว้ว่า การยึดถือว่าพระบิดาเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูเป็นสิ่งที่สอนกันมาผิดๆตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เราจึงไม่ควรที่จะหลงไปกับคำสอนผิดๆจากโบราณที่คริสตจักรยุคแรกต้องเผชิญ และได้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว

และด้วยหลักฐานจากข้อพระคัมภีร์ต่างๆดังกล่าว เราจึงสามารถที่จะยึดถือหลักคำสอนของตรีเอกานุภาพว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงสำแดงเป็น 3 ที่มีพระลักษณะแตกต่างกัน แต่ก็ยังทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว ทั้งนี้พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกล่าวเอาไว้ว่า จงให้บัพติศมาพวกเขาในนามของพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งนี้ พระองค์ไม่ได้พูดว่านามต่างๆ ดังนั้นข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวจึงเป็นการสำแดงว่า ทั้ง 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตามให้เรามาสังเกตข้อพระคัมภีร์ข้อนี้อย่างละเอียดดีๆก็จะพบอีกว่า พระเยซูใช้คำนำหน้านามที่เป็นการบ่งชี้เฉพาะแยกออกมาระหว่างพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทั้งหมดนี้รวมแล้วเราสามารถให้คำอธิบายได้ว่า ¡°พระเจ้าทรงเป็น 3 แต่เป็นหนึ่ง¡± และนี่แหละคือคำยืนยันว่าหลักข้อเชื่อ เรื่องตรีเอกานุภาพนั้นเป็นความจริง ด้วยเหตุนี้ขอให้เราตระหนักว่าความเป็นจริงในเรื่องตรีเอกานุภาพนี้จะได้รับการเปิดเผยออกมาเมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ไม่ใช่ยกคัมภีร์ข้อใดข้อหนึ่งมาอ้าง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างนั่นคือเราจะสังเกตได้ว่า ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าก็ได้เปิดเผยและทรงเน้นย้ำในเรื่องความเท่าเทียมกันของทั้งสามพระภาค ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความเป็นเอกพจน์ของพระเจ้าและความเป็นพหุพจน์ของพระองค์ในเวลาเดียวกัน เพราะใน พระธรรมปฐมกาลบอกว่า ให้ เราสร้างมนุษย์ ในพระลักษณะของพวกเรา แล้วหลังจากนั้นเราก็ ได้อ่านพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในลักษณะของพระองค์ ( ปฐมกาล 1:26-27) ซึ่งตรงนี้เป็นความลึกลับที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยในสมัยพระคัมภีร์เดิม จนกระทั่งกุญแจของความเข้าใจเรื่องนี้มาในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งนั่นก็คือพระเจ้าทรงมีหนึ่งเดียวแต่ทรงมีสภาพเป็น 3 บุคคลนั่นเอง

คำถาม

1 ให้บ่งชี้ความจริง 3 ประการ ที่ทำให้เกิดหลักข้อเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพ
2 คำว่า ¡°พระลักษณะของพระเจ้า¡± หมายความว่าอย่างไร
3 คำว่า ¡°เนื้อแท้¡± หมายความว่าอย่างไร
4 พวก Unitarian เชื่อว่าอย่างไร และลัทธิสอนผิดในปัจจุบัน ลัทธิใดที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้
5 พวก Polytheists สอนอย่างไร และลัทธิสอนผิดในปัจจุบันลัทธิใดที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้
6 หลักข้อเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพนั้นง่ายหรือไม่ที่จะเข้าใจ ถ้าไม่ง่าย ทำไมเราถึงเชื่อสิ่งนี้
7 ให้ยกข้อพระคัมภีร์เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว
8 มีพระลักษณะอยู่ 4 ประการ อะไรบ้างที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้าเท่านั้น แต่สามารถพิสูจน์จาก พระคัมภีร์ได้ว่าเป็นพระลักษณะของพระคริสต์ และพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน
9 ยกตัวอย่างของพระลักษณะในข้อที่ 8 ที่เป็นพระลักษณะของพระเยซู
10 ยกตัวอย่างของพระลักษณะในข้อที่ 8 ที่เป็นพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์
11 พวก Modalism สอนว่าอย่างไร แล้วพระคัมภีร์ข้อใดที่พิสูจน์ว่า พวกเขาสอนผิด
12 พวก Monachianism สอนว่าอย่างไร
13 พระคัมภีร์ข้อใดที่พวก Monachainism ชอบอ้างเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับกลุ่มของตน
14 แล้วเราทั้งหลายมีคำตอบอะไร ที่จะไป คัดค้านกับความพยายามอ้างข้อพระคัมภีร์เพื่อความได้เปรียบอันนี้ของพวกเขา
15 ทำไมเมื่อเราจะทำความเข้าใจข้อพระคัมภีร์ มัทธิว 28:19 เราต้องมีความเชื่อในหลักข้อเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพเป็นพื้นฐาน
16 หลักข้อเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพมีสอนเอาไว้ในพระคัมภีร์เดิมหรือไม่ จงอธิบายในเรื่องนี้




บทที่ 6

คำถามที่ 7 อะไรคือกฤษฎีกาที่ทรงกำหนดเอาไว้ของพระเจ้า

คำตอบ กฤษฎีกาที่ทรงกำหนดเอาไว้ของพระเจ้าคือพระประสงค์อันนิรันดร์ของพระองค์ซึ่ง เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อพระสิริของพระองค์ ซึ่งทรงตั้งไว้ และจะ สำเร็จเป็นจริงอย่างแน่นอน

1 พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก....... เราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามพระดำริเเห่งพระทัยของพระองค์ (เอเฟซัส 1:4, 11)

พระคัมภีร์ได้บอกว่า พระเจ้าทำกิจหลายอย่างตามพระดำริแห่งพระทัยของพระองค์ (เอเฟซัส 1:11) ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความบังเอิญ เพราะว่าสิ่งต่างๆนั้นไม่ได้ ดำเนินไปตามวิถีของมันโดยไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆเลย เพราะจริงๆแล้วมีจุดมุ่งหมายและมีเหตุผลสำหรับทุกสิ่ง และเหตุผลสูงสุดสำหรับทุกสิ่งนั้นก็เป็นไปตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทั้งนี้พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ (โรม 11:36) อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีแผนการในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้านั้น ประกาศตอนจบให้ทราบตั้งแต่เริ่มต้น ........ แผนงานของเราจะยั่งยืนและเราจะทำทุกสิ่งตามความประสงค์ของเรา (พระเจ้า) (อิสยาห์ 46:10) และสำหรับในส่วนของมนุษย์นั้น โยบ ได้กล่าวว่า วันเวลาของเขาถูกกำหนดไว้เสียแล้ว และจำนวนเดือนของเขาก็อยู่กับพระองค์ (โยบ 14:5) และพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกอย่างมีเป้าหมายของมัน แม้แต่คนอธรรมก็เพื่อวันอันลำเค็ญ ( สุภาษิต 16:4)

ในการที่จะยกตัวอย่างของความจริงนี้ออกมา ให้เราพยายามที่จะแสดง ความสอดคล้อง ของมนุษย์กับแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ตอนนี้เราจะเห็นว่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งในภาพตัวอย่างของบทเรียน เด็กน้อยคนนี้ได้เขียนแผนการสำหรับการสร้างบ้านของเขาเสร็จแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนที่เขาจะลงรากฐานอะไรให้บ้านของเขา ก็ถือว่าเขาได้ทำงานในส่วนของการกำหนดว่าสิ่งนั้นจะออกมาเป็นอย่างไรในที่สุด และเมื่อเวลามาถึงที่จะต้องสร้างบ้านจริงๆ คนที่มาสร้างบ้านก็จะต้องทำตาม แบบแผนที่เขียนเอาไว้อันนี้ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะต้องทำตาม ¡°แบบพิมพ์เขียว¡± การเปรียบเทียบอย่างนี้แม้จะเห็นภาพได้ชัดเจน แต่ก็ยังถือว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ด้อยค่านักเมื่อเทียบกับแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพราะมนุษย์คนนี้ก็แค่วางแผนสำหรับทุกอย่างที่จะเป็นไปในบ้านของเขาเองเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงวางแผนสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก และพระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตามให้เรามาค้นหาดูกันว่าแผนการที่พระเจ้าทรงกำหนดนั้นไม่เหมือนกับแผนการที่มนุษย์กำหนดเองตรงไหนบ้าง (1) สิ่งแรกก็คือแผนการของพระเจ้านั้นเป็นนิรันดร์กาล ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ได้ว่าถ้าเราจะถามว่า พระเจ้าทรงวางแผนของพระองค์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คำตอบที่ออกมาก็คงจะออกมาในลักษณะที่ว่า แผนการนี้เป็นแผนการที่พระเจ้าทรงมีอยู่เสมอ และพระองค์ทรงมีแผนการนี้ไปจนตลอดนิรันดร์กาล แต่ทว่าแผนการของมนุษย์นั้นช่างแตกต่างออกไป เพราะแผนการของมนุษย์มีห้วงเวลา ซึ่งทำให้มีบางช่วงเวลาที่แผนการนั้นไม่ได้ครอบคลุมเอาไว้ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องพยายามที่จะเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ทำให้แผนการนั้นสำเร็จ ดังนั้นเขาก็ต้องปรับแผนไปมาให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอ แต่สำหรับพระเจ้าแล้วไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย เพราะในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า แผนการของพระยาห์เวห์ตั้งมั่นคงเป็นนิจแผนงานในพระทัยของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั้วชาติพันธ์ (สดุดี 33:11) พระเจ้าไม่ได้ทรงวางแผนแบบวันต่อวันเหมือนที่เราทำ และพระองค์ก็ไม่ทรงเคยเปลี่ยนแผนการของพระองค์ด้วย พระองค์ทรงไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดจบ ทรงดำรงอยู่นิรันดร์กาลและทรงไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้พระประสงค์ของพระองค์ และแผนการของพระองค์ก็ยังคงดำรงอยู่ในพระดำริของพระองค์เสมอ และไม่เคยเปลี่ยนแปลงและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือสาเหตุที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบบอกว่า แผนการนิรันดร์ของพระเจ้านั้นเป็นไปตามพระดำริแห่งพระทัยของพระองค์ ทั้งนี้เมื่อเราวางแผนการของเรา เรามักจะปรึกษากับคนอื่น เพราะว่าเราต้องการคำแนะนำจากคนอื่นที่มีสติปัญญามากกว่าเรา แต่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งอยู่แล้ว ไม่มีใครมีสติปัญญาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงมี ไม่มีอะไรเลยที่พระเจ้าไม่ทรงเห็นล่วงหน้า ดังนั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงวางแผนการของพระองค์โดยกระบวนการที่ต้องมีการปรึกษาใดๆกับใครเลย พระองค์ทรงปรึกษากับพระองค์เองเท่านั้น เพื่อที่จะทำให้แผนการของพระองค์สอดคล้องไปกับน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า โอ้ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้ เพราะว่าใครเล่ารู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือใครเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ หรือใครถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ที่พระองค์จะต้องตอบแทนเขา (โรม 11:33-34)

(2) ความแตกต่างอีกอย่างระหว่างแผนการของพระเจ้าและแผนการของมนุษย์ ก็คือ แผนการของพระเจ้านั้น เป็นความสมบูรณ์แท้ ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะพูดได้ว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ได้ทรงวางแผนเอาไว้ อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์ได้วางแผนการต่างๆสำหรับบ้านของเขานั้น เขาได้มีการวัดขนาดและมีการควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบ้านหลังนั้น แต่แผนของเขาก็ไม่ได้ การันตีว่าจะเป็นตัวที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากนี้แผนนั้นก็ยังไม่ได้ครอบคลุมไปถึงทุกๆรายละเอียดด้วย เช่นจำนวนของตะปูที่ใช้ในการสร้างบ้านหลังนั้น หรือเรื่องของการที่จะกำหนดลงไปให้แน่นอนอย่างไม่ผิดพลาดว่าใช้เวลาเท่าไหร่ในการสร้างบ้านหลังนั้นให้เสร็จ แต่แผนการของพระเจ้าได้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ แผนการของพระองค์นั้น สมบูรณ์ขนาดที่ว่าได้รวมเอาเหตุการณ์ 2 อย่าง ในโลกนี้ซึ่งคนมักจะคิดกันอยู่เสมอเสมอว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของพระเจ้า (a) มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าโอกาส หรือความบังเอิญ เมื่อคนเล่นการพนันด้วยลูกเต๋าหรือว่าเล่นไพ่ พวกเขาจินตนาการว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกอย่างไร พวกเขาคิดว่าเขามีโอกาส หรือจะมีความบังเอิญที่เขาอาจจะชนะ แต่พระคัมภีร์ได้บอกว่า ฉลากนั้นถูกทอดลงที่ตัก ตามผลที่ออกทุกอย่างมาจากพระยาห์เวห์ ( สุภาษิต 16:33) และในหนังสือ พงศ์กษัตริย์ (2 พงศ์กษัตริย์ 22) ได้มีการบันทึกถึงเรื่องของกษัตริย์อาหับ ผู้ซึ่ง "ฉวยโอกาส" ไปร่วมสงครามโดยไม่ฟังคำเตือนของพระเจ้า ของพระธรรม 2 พงศ์กษัตริย์บททนี้ บอกเราว่า ทหารชาวซีเรียได้ยิงลูกธนูไปบนอากาศโดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะยิงไปให้โดนที่เป้าหมายใด แต่ ลูกธนูลูกนั้นแหละที่ฆ่ากษัตริย์อาหับ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกกำหนดเอาไว้โดยพระเจ้า และแผนการของพระเจ้านั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับความบังเอิญใดๆ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่จะมาทำให้พระองค์ทรงแปลกประหลาดพระทัย หรือมาทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแผนการของพระองค์ (b) แล้วอะไรเล่าที่เป็นสิ่งที่เรียกว่าเจตจำนงเสรีของมนุษย์ เราเคยคิดหรือไม่ว่า แม้จะเป็นทางเลือกที่มนุษย์เลือกไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ได้รับการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระเจ้า แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเรา เพราะพระคัมภีร์บอกเราว่า ทุกการตัดสินใจที่มนุษย์ได้มีการตัดสินใจลงไปนั้น (ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ผู้เชื่อหรือเป็นมนุษย์ผู้ที่ไม่เชื่อ) ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนนิรันดร์กาลแล้วทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่พระคัมภีร์บอกเกี่ยวกับ การกระทำอันชั่วร้ายสำหรับคนที่ฆ่าพระเยซูคริสต์ พระเยซูองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าทรงดำริแน่นอนและทรงทราบล่วงหน้า และท่านทั้งหลายได้ประหารพระองค์ด้วยการตรึงพระองค์บนกางเขนโดยอาศัยน้ำมือของคนอธรรม (กิจการ 2:23) ดังนั้นแม้ว่า คนชั่วร้าย จะทำสิ่งใดต่อต้านพระเจ้า เขาก็ยังคงกระทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ทั้งๆที่เขาอาจจะคิดว่าเขากำลัง ทำให้แผนการของพระเจ้าเสียหายไป แต่แท้จริงแล้วเขากำลังทำให้แผนการนั้นสำเร็จต่างหาก และหากสิ่งนี้เป็นจริงสำหรับกรณีของผู้ที่ไม่เชื่อแล้ว สิ่งนี้ก็จะเป็นจริงแค่ไหนสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าพระคัมภีร์ยังได้บอกต่อไปอีกว่า เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดีซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม (เอเฟซัส 2:10) และแม้แต่ทางเลือกที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ได้ตัดสินใจซึ่งนั่นก็คือทางเลือกแห่งการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วโดย พระเจ้า ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเมื่อเปาโลเทศนาที่เมืองลิสตรานั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่า และคนทั้งหลายที่ทรงหมายไว้แล้วเพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์ก็เชื่อถือ (กิจการ 13:48) ดังนั้นจึงอยากจะขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นนอกแผนการของพระเจ้า แผนการของพระองค์เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แท้ เป็นแผนการที่รวมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นเอาไว้

(3) และด้วยเหตุผลอันใดเล่าที่พระเจ้า ทรงทำให้แผนการของพระองค์เป็นแผนการที่สมบูรณ์และเป็นแผนการที่ครอบคลุม บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นบอกว่า สิ่งนี้เป็นไปเพื่อพระเกียรติสิริของพระองค์เอง ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ด้วยการทำสิ่งนี้พระเจ้าได้ทรงกระทำให้พระองค์เองทรงมีพระสิริเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน (ให้เราจำเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าก่อนการดำรงอยู่ของพระเจ้า และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าหลังการดำรงอยู่ของพระองค์เช่นกัน) สิ่งนี้มีความหมายง่ายๆว่าพระเจ้าไม่ต้องอธิบาย หรือมาชี้แจงเหตุผลในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำใดๆแก่เรา พระเจ้าทรงเป็นอัลฟ่าและโอเมก้า ซึ่งหมายถึงทรงเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดจบ และทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็มาจากพระองค์โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ และเหตุผลสำหรับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนเอาไว้ นั้นก็สามารถเป็นไปเพื่อความพึงพอพระทัยของพระองค์และพระเกียรติตลอดจนคำสรรเสริญที่พระองค์จะทรงนำมาสู่พระองค์เองเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์พูดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับพระสิริ พระเกียรติและฤทธานุภาพ เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้นตาม พระประสงค์ของพระองค์ (วิวรณ์ 4:11) อย่างไรก็ตาม ถ้ามนุษย์ต้องทำสิ่งต่างๆเพื่อที่จะทำให้ตนเองพึงพอใจและเพื่อที่จะให้เกียรติตัวเอง เราก็จะเรียกบุคคลนั้นว่าเป็นคนที่ชอบโอ้อวด ทั้งนี้การที่มนุษย์ยกย่องเกียรติตัวเองแล้วเป็นสิ่งที่ผิดก็เพราะว่า การที่มนุษย์ยกย่องตัวเองนั้นเป็นการปฏิเสธอย่างเป็นรูปธรรมในสิ่งที่เขาเป็นคือเขาเป็นแค่สิ่งที่ได้รับการทรงสร้าง แต่พระเจ้ามีสิทธิที่จะทำเช่นนี้เพราะพระองค์เป็นผู้สร้าง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ และทรงเป็นผู้ที่สมควรแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากพระองค์อีกแล้วที่สมควรจะได้รับคำสรรเสริญ พระเจ้าไม่สามารถที่จะปฏิเสธพระองค์เอง เพราะว่าพระองค์นั้นทรงสูงสุด ดังนั้นพระองค์จึงต้องทรงกระทำให้พระองค์เองพึงพอใจและแสวงหาเกียรติให้พระองค์เองเหนือสิ่งทั้งมวล

ในท้ายที่สุดให้เรามาพิจารณากันในประเด็นที่ว่า แม้ผู้หนึ่งผู้ใดจะมีการยึดถือว่า พระเจ้าได้ทรงกำหนดสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ล่วงหน้าใน แต่เขาคนนั้นก็อาจจะมีมุมมองบางอย่างที่ผิดพลาดไปในเรื่องนี้ได้ คือ (1) เรื่องแรกที่ไม่จริงก็คือ พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ทำให้เกิดบาป สิ่งนี้ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ เพราะในเมื่อเราบอกว่าพระองค์ทรงมีแผนการสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเราจะไม่รวมบาปไปด้วยก็คงจะไม่ได้ ทั้งนี้ พระเจ้าทรงวางแผนเกี่ยวกับเรื่องของความบาปด้วย แต่ถ้าพระเจ้าทรงวางแผนเกี่ยวกับความบาปสิ่งนี้ก็ อาจจะเกือบดูเหมือนว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดบาป แต่นี่ก็คือสิ่งหนึ่งในอีกหลายๆสิ่งที่เราจะต้องยอมรับพระคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แทนที่จะยอมรับพระคัมภีร์เฉพาะตอนที่ดูมีเหตุผลสำหรับเรา จริงๆแล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดบาป กล่าวคือ พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์และมนุษย์ แต่ทั้งมนุษย์และทูตสวรรค์นั้นก็เป็นสิ่งดีในตอนแรกเริ่มที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามบาปก็ได้เกิด
ขึ้นมาในสิ่งทรงสร้างนี้ ซาตานเป็นต้นกำเนิดของบาปอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามแผนการของ พระเจ้าก็รวมถึงสิ่งนี้ด้วย แต่กระนั้นไม่ได้เป็นการกำหนดเอาไว้ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ให้กำเนิดบาป (2) อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะระวังก็คือ ที่เราไม่สามารถที่จะบอกว่า ความเป็นบุคคลของมนุษย์ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับ ¡°หมากบนกระดาน¡± ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แน่นอนทีเดียวว่าพระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นสุดท้ายแล้วชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร บางคนอาจจะได้รับความรอดเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ และบางคนอาจจะหลงหาย ดังที่พระเจ้าทรงมีประกาศิตเอาไว้ ในพระธรรมยูดากล่าวว่า การลงโทษคนพวกนี้มีเขียนไว้นานแล้ว(ยูดา 4 ) และเปาโลก็ยังกล่าวเอาไว้ว่า เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระพิโรธแต่สำหรับ การรับความรอดโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (1 เธสะโลนิกา 5:9) แต่พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างชัดเจนว่า ผู้ซึ่งสุดท้ายแล้วหลงหายก็ไม่ได้ต้องการที่จะได้รับความรอด พวกเขาหลงหายเพราะว่า เขาเลือกเอง ดังนั้นการ ทรงกำหนดของพระเจ้าจึงไม่ได้ทำให้มนุษย์ขาดความรับผิดชอบ หรือทำให้มนุษย์ต้องมีความรับผิดชอบน้อยลงไปแต่อย่างใดเลย

1 คำว่า " กฤษฎีกา" และคำว่า ¡°พระดำริ¡± และคำว่า ¡°กำหนดไว้ล่วงหน้า¡± มีความหมายว่าอย่างไร
2 แผนการของพระเจ้ารวมไปถึงอะไรบ้าง
3 สิ่งใดเป็นการสำแดงถึงกฤษฎีกาของพระเจ้า
4 อะไรคือความแตกต่างระหว่างแผนการของมนุษย์และแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
5 ใครให้คำปรึกษาพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงวางแผนการ ให้อธิบายว่าทำไมท่านจึงตอบเช่นนั้น
6 เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นซึ่ง คนชอบคิดว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกการควบคุมของพระเจ้า แต่แท้จริงแล้ว พิสูจน์ว่าพวกเขานั้นอยู่ในแผนการของพระองค์ คืออะไร
7 พระเจ้าทรงวางแผนการของพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่
8 พระเจ้าทรงวางแผนการของพระองค์เพื่อเหตุผลอะไร
9 พระเจ้าทรงมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระองค์เองหรือไม่ ถ้าใช่ทำไม ถึงไม่ผิด ถ้าพระองค์ทรงมีจุดศูนย์กลางที่พระองค์เอง แต่ถ้ามนุษย์มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเองถึงเป็นสิ่งที่ผิด
10 ถึงแม้เราจะ ยึดหลักเรื่องการ กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าของพระเจ้าแต่ก็ยังอาจเกิดความผิดพลาดในมุมมองได้สองประการ ความผิดพลาดสองประการนั้นคืออะไรบ้าง
11 ให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทั้งสองประการนี้




บทที่ 7

คำถามที่ 8 พระเจ้าทรงบังคับใช้กฤษฎีกาของพระองค์อย่างไร
คำตอบ พระเจ้าบังคับใช้กฤษฎีกาของพระองค์ในพระราชกิจที่พระองค์ทรงสร้าง และที่การจัดเตรียมของพระองค์

คำถามที่ 9 พระราชกิจที่พระองค์ทรงสร้างคืออะไร
คำตอบ พระราชกิจที่พระองค์ทรงสร้าง ก็คือสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดจากความว่างเปล่าโดยพระวจนะและฤทธิ์เดชของพระองค์ที่กระทำใน 6 วัน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดี

1. ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก (ปฐมกาล 1:1)
2. โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น (ฮีบรู 11:3)
3. และพระเจ้าทอดพระเนตรบรรดาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และดูเถิด เป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก (ปฐมกาล 1:31)

ในบทเรียนของเราเราได้พิจารณาเรื่องของพระราชกฤษฎีกาซึ่งเป็นการกำหนดล่วงหน้าของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ว่าพระเจ้าทรงมีแผนการในทุกๆสิ่ง แล้วเราก็ให้ภาพสาธิตโดยการแสดงให้เห็นว่าเราเองนั้นก็ได้วางแผนสิ่งต่างๆก่อนที่เราจะทำสิ่งนั้นๆเหมือนกัน ดังนั้นในภาพประกอบที่ 5 เราได้เห็นว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังวางแผนสำหรับบ้านของเขา ก่อนที่บ้านนั้นจะเสร็จ แล้วตอนนี้มาถึงภาพประกอบที่ 6 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการที่เด็กน้อยคนนี้กำลังทำตามแผนของเขา

ในรูปแรกเราเห็นว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังสร้างบ้านซึ่งเขาได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจภาพของการทรงสร้าง รูปภาพที่สองเราได้เห็นเขากำลังดูแลบ้านของเขาหลังจากที่บ้านของเขาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่ทำให้เราเข้าใจเรื่องของการจัดเตรียมของพระเจ้า และบทเรียนบทนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้มากขึ้น ให้เรามาดูกัน

เมื่อบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบบอกว่าพระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาจากความว่างเปล่า ด้วย พระวจนะและฤทธิ์เดชของพระองค์ใน 6 วัน คำกล่าวดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และเราจะต้องระวังไม่ให้ภาพสาธิตของเรานั้น ไปกำหนดกรอบว่าการทรงสร้างของพระเจ้าเหมือนการสร้างของมนุษย์ เพราะการทรงสร้างของพระเจ้าและการสร้างของมนุษย์มี 2 สิ่งที่แตกต่างกันคือ (1) เมื่อมนุษย์สร้างหรือทำบางสิ่งบางอย่างมนุษย์ก็ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ซึ่งอยู่ในมือ มนุษย์ใช้ไม้ ใช้อิฐ ใช้ซีเมนต์ เป็นต้น แต่เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกพระเจ้าไม่ได้ใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรเลย ซึงก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า โดยความเชื่อเราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น (ฮีบรู 11:3) และ เพราะพระองค์ตรัสโลกก็เกิดขึ้นมา พระองค์ทรงบัญชามันก็ตั้งมั่นคง (สดุดี 33:9) และทั้งหมดนี้แหละเรียกว่าการสร้างจากความว่างเปล่า (2) อีกอย่างหนึ่งที่เราสังเกตได้ก็คือการสร้างหรือการทำของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ใช้กระบวนการ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พันปีก็เหมือนดั่งวันเดียว (2 เปโตร 3:8) ดังนั้นเราจึงเชื่ออย่างง่ายๆโดยยึดสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลทั้งสิ้นจากความว่างเปล่าภายใน 6 วัน และเราต้องไม่อนุญาตให้ตัวเราโดนโน้มน้าวให้ไขว้เขวไปจากความเชื่อแบบนี้ด้วยการโน้มน้าวของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

เรื่องราวของศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีอิทธิพลมากมายในปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่ต่อต้านคำสอนของบทเรียน พระคัมภีร์ด้วยการถามตอบโดยตรง เพราะถ้าจะว่ากันตามทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว โลกใบนี้หรือจักรวาลเป็นผลมาจากการพัฒนาอย่างช้าๆไปเรื่อยๆ และคนที่ชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกในเวลาอันสั้นภายใน 6 วันนั้น ก็กลายเป็นพวกโง่เง่า แปลพระคัมภีร์เองได้เตือนเราว่า โดยความเชื่อเราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ (ฮีบรู 11:3) ถ้าเราพยายามที่จะเข้าใจว่าโลกนี้มาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ผ่านทางสติปัญญาของมนุษย์ ก็แน่นอนว่าเราก็จะไปเข้าทางของทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ต้องอาศัยความเชื่ออะไรเลย เพราะเราเคยไม่เห็นต้นไม้เติบโตในวันเดียว เราไม่เคยเห็นมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาก็เป็นผู้ใหญ่เลย (แบบที่อดัมกับเอวาเป็น) และแน่นอนว่ามันต้องใช้เวลาสำหรับต้นไม้ที่จะเติบโตขึ้นมา และต้องใช้เวลาสำหรับคนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เราก็เลยรู้สึกว่ามันยากที่จะจินตนาการว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เมื่อเราเริ่มต้นที่จะให้เหตุผลแบบนี้ เราก็กำลังทำผิดพลาดไปกับการคิดว่าพระเจ้าเป็นสิ่งที่จำกัดเพราะเรานำประสบการณ์ของเราไปตัดสินพระองค์ ความจริงก็คือ การคิดอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย เพราะถ้าเราคิดอย่างที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ เราจะเข้าใจว่าเวลาไม่ได้อยู่ที่นั่นเมื่อพระเจ้าเริ่มสร้างสรรพสิ่ง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่อยู่ที่นั่นตอนที่พระองค์ทรงเริ่มสร้างโดยที่ไม่ต้องมีใครสร้างพระองค์ แล้วเวลาก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ย้ำอีกครั้งว่า ตอนที่พระองค์ทรงสร้างโลกเวลาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

แล้วความว่างเปล่าล่ะ? การที่บอกว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกขึ้นมาจากความว่างเปล่า แล้วความว่างเปล่ามาจากไหน คำตอบของคำถามนี้ก็คือ พระเจ้าไม่ได้ใช้ความว่างเปล่าเพื่อที่จะสร้างความว่างเปล่า พระองค์ทรงสร้างความว่างเปล่าออกมาจากความไม่มีอะไรเลย ดังนั้นถ้าจะถามว่าพระเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการสร้างระบบต่างๆของเวลา (หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเราใช้ระบบสุริยะจักรวาลในการวัดเวลาของเรา) คำตอบก็คือไม่ได้ใช้เวลาอะไรเลยเพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างเวลา ดังนั้นขอให้เราจงมีความเชื่อแบบง่ายๆว่าพระเจ้าทรงพูดแล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงบังคับบัญชาแล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ให้เราเชื่อว่านี่เป็นการทรงสร้างที่อัศจรรย์ด้วยอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ภายใน 6 วัน นี่เป็นความประทับใจที่เรามีและเป็นความประทับใจที่เราตั้งใจที่จะมีจากการอ่านบทแรกของปฐมกาล เพราะพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระองค์ทรงทำตามพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ มีข้อคิดตามข้อพระคัมภีร์ 2 เปโตร 3:4 ที่ว่า ทุกสิ่งก็เป็นอยู่แล้วเหมือนเดิมตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่กระนั้นเราก็รู้โดยความเชื่อคริสเตียนแบบพื้นฐานว่า พระคัมภีร์ยังบอกความจริงกับเราเมื่อพระคัมภีร์บอกสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วย เช่น เหตุการณ์การอัศจรรย์ของพระเยซูในงานเลี้ยงที่หมู่บ้านคานาใน ยอห์นบทที่ 2 ข้อที่ 1-11 พระเยซูทรงทำไวน์ขึ้ นเป็นไวน์ที่ดีมากซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นการกระทำด้วยฤทธิ์อำนาจของสวรรค์ ไวน์ดีๆแบบนี้เป็นๆไวน์ที่ที่ต้องใช้เวลาทำด้วยกระบวนการปกติถึง 100 ปี แต่แน่นอนในกรณีนี้เรารู้ว่าโดยการกระทำของพระเจ้าด้วยฤทธิ์อำนาจในการทรงสร้าง จึงทรงกระทำสิ่งนี้ได้ และถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร่างไวน์ภายในเวลาอันรวดเร็วทำไมเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงสร้างจักรวาลภายใน 6 วัน

ท้ายที่สุดเราสังเกตเห็นว่าบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้สอนว่า การทรงสร้างนั้น สุดท้ายแล้วก็เป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก เพราะสิ่งนี้มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์เอง และเราก็ยังได้อ่านว่าพระเจ้าบอกว่าดูเถิดเป็นสิ่งที่ดียิ่งนักในพระธรรมปฐมกาล 1:12, 18, 25 ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สำคัญมากไม่เพียงแต่ในฐานะที่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนเท่านั้นแต่ยังหมายความว่าความเลวนั้น ไม่มีในการทรงสร้างธรรมาชาติอันแรกเริ่มเลย แต่ความเลวนั้นเกิดจากมนุษย์เองที่ตกจากมาตรฐานต่างหาก

1 ในภาพสาธิตที่ 6 การทรงสร้างของพระเจ้าเปรียบเทียบกับอะไร
2 ในภาพสาธิตที่ 6 การจัดเตรียมของพระเจ้าเปรียบเทียบกับอะไร
3 อะไรคือสองสิ่งในการทรงสร้างของพระเจ้าที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับกิจกรรมการสร้างของมนุษย์
4 นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ใช้ทฤษฎีอะไรที่บอกถึงการกำเนิดของโลก
5 ทำไมทฤษฎีนี้ถึงดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลสำหรับ มนุษย์ผู้ซึ่งขาดความเชื่อ
6 การคิดเช่นนี้มีข้อผิดพลาดเบื้องต้นอย่างไร
7 พระเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่ ในการสร้างโลก ขอให้อธิบาย
8 การอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ช่วยเราเข้าใจการสร้างโลกอย่างไรบ้าง




บทที่ 8

คำถามที่ 10 พระเจ้าสร้างมนุษย์อย่างไร

คำตอบ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและเป็นหญิง และสร้างตามพระลักษณะของพระองค์ ในความรู้ ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ เพื่อให้ปกครองเหนือสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด

1. ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ในแบบพระฉายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างเขาขึ้นในแบบพระฉายของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง (ปฐมกาล 1:27)
2. และได้สวมมนุษย์ใหม่ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ในความรู้ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างขึ้นนั้น (โคโลสี 3:10) และให้ท่านสวมมนุษย์ใหม่ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง (เอเฟซัส 4:24)
3. และพระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า ¡°จงมีลูกดกและทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก และจงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองเหนือฝูงปลาในทะเล และเหนือฝูงนกในอากาศ และเหนือบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก¡± (ปฐมกาล 1:28)

ในบทเรียนก่อนหน้านี้ เราได้เห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง อย่างไรก็ตามในบทเรียนนี้ก็จะยังคงเป็นเรื่องของการทรงสร้าง แต่ว่าจะเจาะเข้าไปเป็นพิเศษ ถึงเรื่องการทรงสร้างมนุษย์ สาเหตุที่เราต้องให้ความสนใจในการสร้างมนุษย์เป็นพิเศษนั้นเพราะรับคัมภีร์สอนเราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้รับการสร้างให้ ¡°ไปด้วยกันได้ดี¡± และร่วมกันทั้งในเรื่อง ¡°วัตถุประสงค์¡± และ ¡°ความหมาย¡± อยู่ภายใต้การปกครองของมนุษย์ เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้เห็นภาพมากขึ้น ก็คงต้องยกตัวอย่างอย่างนี้ว่า ถ้ามนุษย์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้างแล้ว ก็คงจะเหมือนกับเป็นการสร้างเรือโดยไม่มีกัปตัน หรือคงจะเหมือนกับการสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่มีผู้นำ ดังนั้น มีเพียงมนุษย์เท่านั้นท่ามกลางสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าทั้งหมดที่ได้รับการสร้างตามพระลักษณะของพระองค์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงตรัสนถ้อยคำเหล่านี้ด้วย ซึ่งนั่นคือ ถ้อยคำที่ว่า ¡°จงมีลูกดกและทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก และจงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองเหนือฝูงปลาในทะเล และเหนือฝูงนกในอากาศ และเหนือบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก¡± (ปฐมกาล 1:28)

อย่างไรก็ตามในบางครั้ง แม้แต่คริสเตียนเองก็เผลอคิดไปว่าเรื่องการปกครองของมนุษย์เหนือสิ่งทรงสร้างสามารถนั้น อาจจะสามารถอะลุ่มอล่วยให้ไปด้วยกันได้กับทฤษฎีวิวัฒนาการ ทั้งนี้ผู้ที่ผสมสองเรื่องนี้เข้าไว้ด้วยกันเรียกว่าผู้ที่เชื่อทฤษฎีการทรงสร้างแบบวิวัฒนาการ คนพวกนี้เห็นด้วยกับคำสอนประมาณว่า ตอนแรกสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้นเป็นสัตว์เซลล์เดียวก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆพัฒนามาสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆอะไรอย่างนี้ แต่ทว่าในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เชื่อว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ ¡°เบื้องหลัง¡± และทรงควบคุมสถานภาพที่หลากหลายต่างๆของการพัฒนาดังกล่าว พวกที่เชื่อทฤษฎีการทรงสร้างแบบวิวัฒนาการนั้นอาจจะเชื่อด้วยซ้ำว่าร่างกายของมนุษย์นั้นสืบเชื้อสายมาจากลิงวานร แต่พวกเขาอาจจะบอกว่าพระเจ้าทรงสร้างบางสิ่งบางอย่างใหม่ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ให้ชื่อว่า ¡°มนุษย์¡± ซึ่งมีจิตใจและจิตวิญญาณ และเมื่อพระเจ้าทำเช่นนี้สิ่งมีชีวิตนั้นก็เริ่มเรียกได้ว่าเป็นลักษณะของพระเจ้า (แต่ก่อนเป็นเพียงวานรเท่านั้น) ทั้งนี้ เราต้องมาถามตัวเองด้วยคำถามที่ว่า ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเราจะจัดการเรื่อง การรวมการทรงสร้างเข้ากับทฤษฎีวิวัฒนาการนี้อย่างไร (1) อย่างแรกเลย ทฤษฎีนี้ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในปฐมกาล 2:7 ซึ่งบอกว่า และพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน และทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางรูจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ ทั้งนี้ สัตว์ต่างๆซึ่งพระเจ้าได้ให้ชีวิตนั้น ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผงคลีดิน ดังนั้นถ้าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากการเพิ่มเติมจากบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้สร้างขึ้นมาแล้ว ทำไมพระเจ้าต้องให้ลมหายใจแห่งชีวิตเขาเพิ่มเข้าไปด้วยอีกแล้ว ทั้งนี้ในปฐมกาล 2 :7 ได้สอนเราอย่างชัดเจนว่ามนุษย์นั้นไม่ได้วิวัฒนาการใดๆทั้งสิ้น (2) อีกเรื่องก็คือ ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์เลยที่บ่งชี้ว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นร่างกายของเดรัจฉาน ในขณะที่เราคิดเรื่องจิตใจของเราว่าเป็นสิ่งที่มีความสูงส่งฝ่ายวิญญาณ เพราะถ้าคิดเช่นนั้นคนก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีองค์ประกอบ 2 ส่วน ก็คือส่วนที่เป็นกายภาพที่ตามองเห็นและอีกส่วนก็คือส่วนที่ตามองไม่เห็นซึ่งจะเรียกว่าจิตใจหรือจิตวิญญาณก็แล้ว แต่ อย่างไรก็ตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ตรัสด้วยพระองค์เองว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายแต่ไม่สามารถคาดจิตวิญญาณแต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้ ( มัทธิว 10:28) แต่ถ้าเราบอกว่าร่างกายของมนุษย์นั้นวิวัฒนาการขึ้นมาจากชีวิตในรูปแบบที่ต่ำกว่า และทันใดนั้นจิตวิญญาณของมนุษย์ก็แค่ได้รับการสร้างจากพระเจ้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการสื่อสารว่า อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นดีกว่าร่างกาย เพราะว่าสิ่งที่มาจากพระเจ้านั้น ก็ควรเป็นสิ่งที่ดีกว่าสิ่งอื่น อะไรอย่างนี้เป็นต้น ทั้งนี้ พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อแบบคริสเตียนนั้นสอนให้มีความหวังในการฟื้นขึ้นมาจากความตายทั้งร่างกายไม่ใช่แค่เพียงจิตใจหรือจิตวิญญาณเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหมดทุกส่วน และทั้งหมดทุกส่วนของมนุษย์จะได้รับความรอดโดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้า (หรือจะได้รับการกล่าวโทษในวันสุดท้ายก็ตามแต่)

แล้วการที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระลักษณะของพระเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร ในเรื่องนี้เราจะมีความเข้าใจได้อย่างดีทีเดียว ถ้าเราคิดถึงมนุษย์ในฐานะที่ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรก ตามวิธีคิดดังต่อไปนี้

(1) บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบบอกว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ตามพระลักษณะของพระองค์ในความรู้ นั่นหมายความว่าอาดัมเมื่อเขาไม่มีบาป เขาสามารถที่จะเข้าใจการเปิดเผยของพระเจ้าด้วยตัวของตัวเขาเองในโลกนี้ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกว่า ชายนั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ใช้งานทุกชนิด และนกในอากาศและสัตว์ป่าทุกชนิด ปฐมกาล 2:20 ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าอาดัมทำบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าการคิดชื่อขึ้นมา เพราะชื่อต่างๆนั้นเป็นคำบรรยายถึงสิ่งต่างๆที่ได้รับการตั้งชื่อ เช่น เมื่ออาดัมตั้งชื่อภรรยาของเขาว่าเอวา ซึ่งหมายความว่าผู้ให้ชีวิต เขาทำเช่นนั้นเพราะว่า นางเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง (ปฐมกาล 3:20) ดังนั้น เมื่ออาดัม เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ เขาก็ตั้งชื่อให้สัตว์ต่างๆนั้น ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเขา สามารถที่จะรู้ธรรมชาติของสิ่งต่างๆจึงตั้งชื่อได้อย่างถูกต้อง หรือพูดได้อีกอย่างว่าอาดัมตอนที่ยังไม่มีบาปเป็น ¡°ผู้เผยพระวจนะ¡± ที่มีจิตวิญญาณสูงสุด เพราะทั้งนี้ผู้เผยพระวจนะนั้นเป็นคนที่สามารถที่จะเห็นความจริงของพระเจ้า (ซึ่งก็จะเห็นได้จากหลายๆครั้งในพระคัมภีร์เรียก ผู้เผยพระวจนะว่าผู้มองเห็น) โดยเมื่อผู้เผยพระวจนะเห็นแล้วก็จึงพูดออกไปเพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น

(2) บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ ยังพูดด้วยว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระลักษณะของพระองค์ในความบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นหมายความว่าอาดัมตอนที่ยังไม่มีบาปนั้นเป็นผู้ที่บริสุทธิ์แท้สำหรับพระเจ้า ใน พระคัมภีร์เดิม แนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่โดดเด่นมาก ทั้งนี้ความบริสุทธิ์หมายถึงการที่ถูกแยกออกมาเพื่อพระเจ้า ซึ่งในกรณีของอาดัมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องของพิธีกรรมต่างๆ หรือเรื่องของการถวายบูชา แต่หมายถึงการอุทิศหัวใจของเขาต่อพระเจ้า และเราจะเห็นว่าเขามีความบริสุทธิ์เพราะว่าเขาได้ฝากมอบความชื่นชมยินดีสูงสุดของตัวเขาเองเอาไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้ ก่อนที่เขาจะล้มลงไปในบาปนั้นเขาไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลยที่จะพูดคุยกับพระองค์อย่างชิดใกล้ ซึ่งทำให้เขามีสันติสุขอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์แบบหน้าต่อหน้า และนั่นหมายความว่าเขาได้ถูกแยกออกจากสิ่งอื่นๆเพื่อเป็นของพระเจ้าด้วยความปรารถนาจากส่วนลึกของหัวใจ ดังนั้นเราจึงถือได้ว่าเขาเป็น ¡°ปุโรหิต¡± ที่แท้จริง

(3) บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้ชี้ลงไปในที่สุดว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระลักษณะของพระองค์ในความชอบธรรม ความชอบธรรมนี้เป็นอีกชื่อหนึ่งของความยำเกรงพระเจ้า ผู้ซึ่งทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงให้เขาทำ ก็ทำในสิ่งนั้นด้วยความชอบธรรมของพระองค์ ดังนั้นจึงค่อนข้างจะถูกต้องทีเดียวที่เราจะพูดว่าอาดัมก่อนที่เขาจะล้มลงไปในความบาปนั้น เขาเป็นกษัตริย์ เพราะกษัตริย์นั้นเป็นผู้ที่ปกครองสิ่งต่างๆ และอาดัมก็ปกครองโลกที่พระเจ้าทรงวางเอาไว้อยู่ใต้อำนาจเขา เพราะว่าเขารู้ถึงน้ำพระทัยของ พระเจ้า ( ในฐานะผู้เผยพระวจนะ) และเขาก็ปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์อย่างเดียว ( ในฐานะปุโรหิต) และเขายังสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆอย่างชอบธรรมในฐานะกษัตริย์ของสิ่งทรงสร้างทั้งหมดอีกด้วย ดังนั้นเราเห็นได้ว่าอาจจะยังไม่ถูกต้องนักที่จะพูดว่าพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในมนุษย์ เพราะว่าจะเป็นการถูกต้องมากกว่าที่จะพูดว่า มนุษย์นั้นเป็นพระลักษณะของพระเจ้า ทั้งนี้พระลักษณะของพระเจ้าไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในมนุษย์ หรือ เป็นแค่เพียงบางส่วนของมนุษย์( เช่น จิตใจหรือวิญญาณ) เพราะจะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นคิดแบบผู้เผยวจนะ รู้สึกแบบปุโรหิต และทำสิ่งต่างๆแบบกษัตริย์ ซึ่งนั่นคือพระลักษณะของพระเจ้า

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้อง จดจำสิ่งนี้เอาไว้ในใจให้ดีเมื่อเราเรียนบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ เพราะว่านี่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมนุษย์ในฐานะที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้า ซึ่งก็จะทำให้เราสามารถเข้าใจในอีกหลายๆหลักข้อเชื่อในความเชื่อของคริสเตียนได้จากความเข้าใจส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น (1) หลักข้อเชื่อเกี่ยวกับ ¡°การเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิงของมนุษย์¡± นั้น จะเป็นที่เข้าใจได้ถ้าเรา ชี้ไปที่ความหมายของมนุษย์ในฐานะที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนั่นก็คือการที่มนุษย์ทั้งหมดนั้นตกต่ำลงมาในการละเมิดครั้งแรกของอาดัม แล้วมนุษย์ทั้งหมดก็เสื่อมทรามลงไปในทุกๆส่วน (2) และในส่วนของเรื่อง ¡°การทรงไถ่ของพระคริสต์¡± ก็เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์เดิมนั้นไม่ได้ปิดบังพระสัญญาเรื่องพระผู้ไถ่ที่จะถูกส่งเข้ามาในโลกโดยพระบิดา ในฐานะของผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และกษัตริย์ ทั้งนี้เราจะเห็นได้ว่า เพื่อที่จะช่วยปวงประชาให้รอดจากบาป พระเยซูจำเป็นต้องเป็นผู้เผยพระวจนะที่สมบูรณ์ ปุโรหิตที่สมบูรณ์ และกษัตริย์ที่สมบูรณ์ด้วย และถ้าเราตรึกตรองสิ่งที่เราได้เรียนไปในบทเรียนนี้อย่างเข้มแข็งในจิตใจแล้ว เราก็จะเข้าใจมากขึ้นในสิ่งนี้ (3) หลักข้อเชื่ออีกอย่างหนึ่งซึ่งเราสามารถเข้าใจได้ดีขึ้นถ้าเราตระหนักในคำสอนนี้ นั่นก็คือ เรื่องของ ¡°การกลับใจของคนบาปมาสู่พระเยซูคริสต์¡± เราจะเห็นได้ว่าทำไมการกลับใจ มาสู่พระเยซูคริสต์นั้นจะต้องประกอบไปด้วยความรู้ความรู้สึกและความปรารถนา (4) และท้ายที่สุด เราก็จะเข้าใจเรื่องของ ¡°สัญลักษณ์ของคริสตจักรที่แท้¡± ว่าเป็นอย่างไร คริสตจักรของพระเยซูคริสต์นั้นไม่ใช่อาคาร แต่เป็นอวัยวะของพระกายซึ่งหมายถึงผู้คนผู้ซึ่งเป็นของพระเจ้า หริอจะพูดอีกอย่างได้ว่า หมายถึงกลุ่มของคนผู้ซึ่ มีการกลับใจมาสู่ความรู้อันแท้จริง ความชอบธรรมอันแท้จริง และความบริสุทธิ์อันแท้จริง และเราก็จะเห็นว่าทำไมสัญลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้ ต้องเป็นการเทศนาพระคำของพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และยังต้องเป็นการบริหารปกครองและการ ให้คำสัตย์ปฏิญาณ และการกระทำอย่างสัตย์ซื่อของความเป็นสาวกแห่งคริสตจักรอีกด้วย ในทั้งหมดนี้เราเห็นการเติมเต็มของพระสิริของพันธกิจแห่งพระเยซูในฐานะผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และกษัตริย์ และเราก็จะเห็นประชากรของพระเจ้าได้เข้ามามีส่วนในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น

คำถาม

1 ทำไมบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ จึงมีอีกคำถามหนึ่งหลังจากคำถามที่ 9 เกี่ยวกับเรื่องหลักข้อเชื่อเรื่องการทรงสร้าง (ซึ่งคราวนี้เป็นเรื่องของการสร้างมนุษย์)
2 ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีการทรงสร้างแบบวิวัฒนาการชื่อว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากอะไร
3 เราจะให้เหตุผลอะไรเพื่อปฏิเสธทฤษฎีการทรงสร้างแบบวิวัฒนาการ
4 มนุษย์มีธรรมชาติ 2 ส่วนหรือเปล่า (ร่างกายและวิญญาณ) ให้พิสูจน์
5 ส่วนไหนของมนุษย์ดีกว่ากันหรือว่าส่วนไหนดีที่สุด (ร่างกายหรือวิญญาณ)
6 ในภาพสาธิต 7a 7b และ 7c เด็กคนนี้ทำอะไรที่เป็นการ อธิบายที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน
8 สิ่งใดต่อไปนี้ที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ¡°พระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในมนุษย์¡± หรือ ¡°มนุษย์เป็นพระลักษณะของพระเจ้า¡± หรือ ¡°วิญญาณของมนุษย์บรรจุเอาไว้ด้วยพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ภายใน¡± ทำไมจึงคิดอย่างนั้น
9 อะไรคือหลักข้อเชื่ออื่นๆที่เราจะสามารถเข้าใจได้ดีขึ้นเมื่อเราเรียนบทเรียนนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น




บทที่ 9

คำถามที่ 11 อะไรคือพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมที่รอบคอบสมบูรณ์ของพระเจ้า

คำตอบ พระราชกิจแห่งการจัดเตรียมที่รอบคอบสมบูรณ์ของพระเจ้าคือ การที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์สูงสุด ส่งภาพปัญญาสูงสุด ส่งเปี่ยมไปด้วยฤทธิ์อำนาจ และการปกครองสูงสุดเหนือสิ่งทรงสร้างทั้งปวงและเหนือการกระทำของสิ่งทรงสร้างทั้งหมด
1. พระเยโฮวาห์ทรงชอบธรรมตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ และทรงบริสุทธิ์ในการกระทำทั้งสิ้นของพระองค์ (สดุดี 145:17)
2. เรื่องนี้มาจากพระเยโฮวาห์จอมโยธาด้วย พระองค์มหัศจรรย์นักในการปรึกษา และวิเศษในเรื่องการกระทำ (อิสยาห์ 28:29)
3. ทรงผดุงสรรพสิ่งไว้โดยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ (ฮีบรู 1:3) พระเยโฮวาห์ทรงสถาปนาบัลลังก์ของพระองค์ไว้ในฟ้าสวรรค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่ง (สดุดี103:19)
4. นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ (มัทธิว 10:29)

พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระกฤษฎีกาแห่งการกำหนดล่วงหน้าของพระองค์ ไม่ใช่เฉพาะในพระราชกิจแห่งการทรงสร้างเท่านั้นแต่ยังทรงสำแดงในพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมด้วยความรอบคอบของพระองค์ ทั้งนี้บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้ชี้ให้เห็นถึงพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมของพระเจ้าใน 2 ลักษณะด้วยกันคือ (1) พระองค์ทรงรักษาไว้ (2) พระองค์ทรงปกครอง และเพื่อที่จะทำให้เราได้เห็นภาพของสิ่งที่ บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้สอนเรา ขอให้เรามาดูภาพประกอบของเด็กคนนี้ใน 2 สถานการณ์ด้วยกัน

ในภาพแรกเราเห็นเด็กน้อยคนนี้กำลังนอนหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางพายุ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ คริสเตียนควรจะทำ เพราะว่าเขาควรที่จะตระหนักว่า พระเจ้านั้นทรงรักษาเราและสงวนเราไว้ ทั้งนี้หลายๆครั้งคนเราลืมที่จะคิดถึงสิ่งนี้ พวกเขามักจะพูดเกี่ยวกับ ¡°กฎธรรมชาติ¡± หรือ ¡°การค้นพบทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่¡± พวกเขาทมักจะลืมว่าแท้จริงแล้วมีพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ผู้ซึ่ง ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ฮีบรู 1:3 ทั้งนี้เป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับเราในฐานะคริสเตียนที่จะลืมว่าพระเจ้านั้น ไม่ทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย ¡®เรามีชีวิตและไหวตัวและเป็นอยู่ในพระองค์¡¯ (กิจการ 17:27-28) แต่ความจริงก็คือการที่ ทุกสรรพสิ่งก็จะต้องล่วงไปถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงสงวนรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พระองค์ทรงรักษาทุกสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ (เนหะมีย์ 9:6) ทุกสิ่งถูกยึดเข้าด้วยกันโดยพระองค์ ซึ่งนี่เป็นคำพูดของอัครทูตเปาโล (โคโลสี 1: 17) และแม้แต่ซาตานก็ยังไม่สามารถปรากฏอยู่ได้แม้แต่เพียงชั่วครู่เดียวถ้าพระเจ้าไม่ได้อนุญาตให้มันอยู่ โดยพระดำรัสและโดยฤทธิ์เดชของพระองค์ (ไม่รวมไปถึงความชั่วของซาตาน)

ในภาพที่สองเราเห็นเด็กคนนี้อยู่ท่ามกลางอันตรายในสนามรบ และใต้รูปภาพนี้เราก็ ได้ยกบางส่วนของสดุดีบทที่ 91 ซึ่งบอกว่า พันคนจะล้มอยู่ข้างๆท่าน เหมือนคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน(ข้อ 7) สิ่งที่ต้องการจะแสดงให้เห็นในภาพประกอบนี้ก็คือการที่พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ทุกการกระทำ และทุกสิ่งจากยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงเล็กน้อยที่สุด (เหมือนกับที่เราได้อ่านในหลักข้อเชื่อเวสต์มินเตอร์) แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครตายในสมรภูมิ แต่หมายถึงการที่พระเจ้าสามารถที่จะรักษาชีวิตของผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงโปรดที่จะทำสิ่งนั้น พระองค์ทรงสามารถที่จะนำและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์นั้นปลอดภัย และเป็นเพราะความมั่นใจอันนี้นี่เอง ที่ทำให้คริสเตียนสามารถที่จะยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่อันตรายต่างๆโดยที่ไม่ถูกจู่โจมด้วยความกลัวจนลนลาน ซึ่งก็เป็นเหมือนอย่างที่พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก เช่นนั้นเราจะไม่กลัวแม้ว่าแผ่นดินโลกจะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าภูเขาทั้งหลายจะโคลงเคลงลงสู่สะดือทะเล (สดุดี 46:1-2)

และขอให้เราพิจารณาในสิ่งที่พระคัมภีร์ได้สอนเราแบบลงละเอียดมากขึ้น เกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมอย่างรอบคอบของพระเจ้า (1) ให้เราพิจารณาสิ่งที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือธรรมชาติ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน (มัทธิว 5:45) และพระคัมภีร์ยังบอกต่อไปว่า พระองค์ทรงให้หญ้างอกมาเพื่อสัตว์เลี้ยง และให้ผักแก่มนุษย์เพื่อเพาะปลูก เพื่อเขาจะทำให้เกิดอาหารจากแผ่นดิน (สดุดีบทที่ 104:14) พระเจ้าประทานน้ำแข็งด้วยลมหายใจของพระองค์..... เมฆหันไปรอบๆตามการทรงนำของพระองค์ เพื่อให้สำเร็จกิจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชามัน โยบ 37: 10,12) ด้วยเหตุนี้ สำหรับเราแล้วดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดย ความบังเอิญหรือโดย กลไกเงื่อนไขต่างๆ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงทำการควบคุมอย่างสมบูรณ์ในทุกสิ่งทุกอย่าง (2) ให้ลองสังเกตสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งอยู่บนผืนแผ่นดินโลก หลายๆครั้งเรารู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม เพราะมนุษย์มักจะทำสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่นก่อสงครามขึ้นมาโดยฉับพลัน แต่กระนั้นในพระคัมภีร์ก็บอกว่า พระผู้สูงสุดนั้นปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ (ดาเนียล 4:25) แล้วพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า พระองค์ทรงเปลี่ยนวาระและฤดูกาลทรงถอดบรรดากษัตริย์และทรงตั้งขึ้นใหม่ (ดาเนียล 2:21) ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความบังเอิญเลยเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างดูเหมือนว่าจะออกนอกลู่นอกทางไป ซึ่งในพระธรรมกิจการก็บอกว่า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติมาจากคนคนเดียวให้อยู่ทั่วพิภพโลก รับส่งกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาทั้งหลายอยู่ด้วย (กิจการ 17:26) (3) เรายังเห็นอีกว่า ในพระคัมภีร์นั้น พระเจ้าทรงควบคุมอย่างสมบูรณ์ในแต่ละคนที่อยู่บนโลกนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ที่กล่าวไว้ว่า พระยาห์เวห์ทรงประหารและส่งให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและทรงนำขึ้นมา พระยาห์เวห์ทรงทำให้ยากจนและสูงทำให้มั่งคั่ง ทรงทำให้ต่ำลงและทรงยกขึ้น ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขี้เถ้า ทรงทำให้พวกเขานั่งร่วมกับพวกเจ้านายและได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก เพราะว่าบรรดาเสาแห่งพิภพเป็นของพระยาเวห์ พระองค์ทรงพิภพไว้บนเสาแห่งนั้น 1 ซามูเอล 2:6-8 เหมือนกับที่ความเป็นไปของนกนางแอ่นตัวเล็กๆนั้นขึ้นอยู่กับการจัดเตรียมแห่งความรอบคอบของพระเจ้าในชีวิตและในความตายของมัน ดังนั้นมนุษย์ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง ผมทุกเส้นบนศีรษะของเขาได้รับการนับจำนวนไว้แล้วโดยพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงนับจำนวนวันในชีวิตของเขาบนโลกนี้ด้วย (4) ท้ายที่สุดเราต้องตระหนักว่าพระเจ้าทรงควบคุมเหนือการกระทำที่เป็นอิสระของคน เรารู้สิ่งนี้เพราะว่าพระคัมภีร์บอกเราว่า แผนงานความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระยาห์เวห์ (สุภาษิต 16:1) และยังบอกอีกว่า เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่านให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์ (ฟิลิปปี 2:13) เมื่อมนุษย์ได้กำหนดในหัวใจของเขาในสิ่งที่เขาจะพูดหรือทำ เขาอาจจะไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าก็ทรง กำหนดเช่นกัน ซึ่บงก็รวมไปถึงในกรณีของผู้ไม่เชื่อด้วยที่พระคัมภีร์ก็ได้บอกเอาไว้ว่า แท้จริงพระพิโรธต่อมนุษย์จะนำการยกย่องมาสู่พระองค์ และพระพิโรธที่เหลืออยู่พระองค์ก็ทรงคาดไว้ (สดุดี 76:10) และนี่เป็นสิ่งที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบหมายถึง เมื่อบทเรียนนี้พูดถึงการปกครองของพระเจ้าว่าอยู่เหนือสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด และเหนือการกระทำทั้งหมดของสิ่งที่ทรงสร้างนั้น

อย่างไรก็ตามมีคนที่อยากจะเป็นคริสเตียน แต่พอมาเจอหลักข้อคำสอนว่าพระเจ้าทรงควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือทุกสิ่งซึ่งเกิดขึ้นในโลกนี้ ก็เลยไม่อยากจะเชื่อว่าพระเจ้าสามารถที่จะ ควบคุมโลกนี้ในทางปกติทั่วๆไปได้ ทั้งนี้เขาอยากจะเชื่อว่าพระเจ้าสามารถมองเห็นในลักษณะของภาพรวมในแบบที่พระองค์ทรงต้องการจะให้เป็น แต่เขาไม่อยากที่จะยอมรับว่าพระองค์ทรงควบคุมเหนือรายละเอียดเล็กๆน้อยๆด้วย เขาไม่อยากจะยอมรับว่าพระองค์ทรงกำหนดสิ่งเล็กน้อยเอาไว้เช่นเดียวกับสิ่งใหญ่ๆ การที่เราจะให้คำตอบต่อเรื่องแบบนี้ ก็ขอให้เรานึกถึงเรื่องที่รู้จักกันดีเรื่องหนึ่งซึ่งก็เป็นไปประมาณนี้ว่า ¡°ทำตะปูหาย 1 ตัว เกือกม้าเสีย 1 ข้าง เกือกม้าเสีย 1 ข้าง เสียม้าอีก 1 ตัว เสียม้าศึก 1 ตัว ทหารม้าบาดเจ็บ 1 คน ทหารม้าบาดเจ็บ 1 คน พ่ายแพ้สงคราม 1 ครั้ง พ่ายแพ้สงคราม 1 ครั้ง ประเทศ 1 ประเทศจำต้องล่มสลาย¡± ซึ่งนั่นหมายความว่าสิ่งใหญ่ๆนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งเล็กน้อยหลายๆอย่าง ถ้าสิ่งเล็กน้อยหลายๆอย่างไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุม สิ่งใหญ่ก็คงไม่ได้รับการควบคุมเช่นกัน แต่อย่างไร สิ่งที่ยากจะยอมรับเมื่อคนคิดถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่า นั่นก็คือการที่เขาคิดว่าการยอมรับเรื่องนี้เหมือนกับเป็นการลดคุณค่าของมนุษย์ลงมาเป็นแค่ ¡°หมากบนกระดาน¡± หรือเป็นแค่หุ่นยนต์ที่เลือกอะไรไม่ได้เลย หรือบางคนอาจจะถามอย่างนี้ว่า ¡° ถ้าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำ แล้วทำไมฉันจะต้องโดนตำหนิในสิ่งที่ฉันทำด้วยเล่า¡± หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าหลักข้อเชื่อนี้ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์นั้นจะต้อง ปราศจากความรับผิดชอบในสิ่งต่างๆที่พวกเขากระทำ ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถเข้าใจได้ว่า พระเจ้าสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำได้อย่างไร ในขณะที่เราเองก็ยังมีความรับผิดชอบด้วย เรายังไม่เห็นวิธีที่จะอธิบายความจริงนี้ แต่มันก็เพียงพอสำหรับเราที่จะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นจริง และเพียงพอสำหรับเราที่จะรู้ว่าพระคัมภีร์สอนเราทั้งสองสิ่งนี้ นอกจากนี้เรายังรู้จักพระคัมภีร์อีกว่าเราต้องมีความรับผิดชอบ และเราก็รู้จากพระคัมภีร์ด้วยว่าเราทำสิ่งต่างๆด้วยเสรีภาพอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นหมายความว่าเราไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจทำอะไรด้วยอำนาจที่อยู่นอกตัวเรา แล้วเราก็รู้จากพระคัมภีร์เช่นเดียวกันว่าพระเจ้าทรงควบคุมเรา ดังนั้นพระองค์ทรงกำหนดสิ่งที่เรากระทำ ด้วยเหตุนี้เราจึงยอมรับในคำสอนนี้เพราะว่ามันเป็นคำสอนของพระคัมภีร์ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรายอมรับเพราะว่าเราสามารถอธิบายมันได้

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่แท้ที่สอนเราถึงหลักคำสอนนี้ ซึ่งนั่นก็คือ ¡°พระราชกิจของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีสำหรับผู้ที่วางใจในนั้น¡± ถ้าเราสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับการเปิดเผยอยู่ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ก็ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าอีกต่อไป ทั้งนี้ เรารู้ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์นั้นเปิดเผยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราเชื่อในพระองค์และมั่นใจในพระองค์ เพราะว่าพระองค์สามารถกระทำได้มากเกินกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ และสิ่งนี้สำคัญสำหรับความเชื่อของคริสเตียนมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ถ้าพระเจ้าได้ทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้ว แม้แต่ความชั่วของคนชั่ว ที่มาเกี่ยวข้องกับเราพระเจ้าก็ทรงควบคุม (พระเจ้าไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของบาป แต่บาปอยู่ในการควบคุมของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ให้กำเนิดมัน แต่พระเจ้าควบคุมมัน) ซึ่งก็จะทำให้เรามีความมั่นใจตามข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่า เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่าง ร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้าคือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ (โรม 8: 28) คริสเตียนผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงรักษาและทรงปกครองเหนือสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และเหนือทุกการกระทำของสรรพสิ่งนั้น จะไม่กลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและจะไม่ลนลานท่ามกลางสถานการณ์ที่อันตราย เขาจะรู้ว่าจุดหมายปลายทางในชีวิตของเขา และจุดหมายปลายทางของโลกนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระบิดา เขาจะรู้ว่าไม่มีอุบัติเหตุใดๆสามารถที่จะเคลื่อนย้ายเขาออกไปจากโลก ก่อนที่เขาจะทำให้แผนการของพระบิดาที่มีต่อชีวิตของเขานั้นสำเร็จ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความป่วยไข้ ความทุกข์ยากลำบาก หรือสิ่งใดๆก็ตาม ที่จะเข้ามา เขารู้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดที่พระเจ้าทรงนำมาในชีวิตของเขา

คำถาม

1 ทำไมเด็กน้อยในรูปถึงสามารถที่จะนอนหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางพายุร้าย
2 ให้อธิบาย ถึงภาพที่สองโดยใช้ สดุดี 91:7 เป็นพื้นฐานในการอธิบาย
3 อะไรบ้างที่พระเจ้า ทรงควบคุมในโลกนี้ ให้ยกตัวอย่าง
4 อะไรบ้างที่พระเจ้าทรงควบคุมซึ่งยากที่คนจะยอมรับได้
5 ทำไม เราจะต้องยึดถือว่าพระเจ้าทรงควบคุมสิ่งต่างๆที่เล็กๆน้อยๆเฉกเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงควบคุมสิ่งใหญ่ๆโตๆ
6 พระเจ้าทรงควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือมนุษย์ถึงแม้ว่าเขาจะทำผิดหรือไม่
7 ถ้าเป็นอย่างเช่นในคำตอบข้อที่ 6 นั้น แล้วจะทำให้พระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดบาปหรือเปล่า
8 เราสามารถให้คำอธิบายถึงหลักคำสอนนี้หรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
9 ทำไมเราถึงต้องเชื่อหลักคำสอนนี้
10 มีสิ่งใดเล้าโลมใจสำหรับคริสเตียนบ้างสำหรับหลักคำสอนนี้
12 อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 22:1-38 แล้วเตรียมตัวตอบคำถามนี้ในชั้นเรียน เพื่อที่จะพิสูจน์หลักคำสอนที่อยู่ในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ



บทที่ 10

คำถามที่ 12 อะไรคือการกระทำพิเศษของพระราชกิจแห่งการจัดเตรียมอย่างรอบคอบสมบูรณ์ซึ่งพระเจ้ากระทำในมนุษย์ในฐานะที่มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้าง

คำตอบ เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา พระเจ้าทรงให้พันธสัญญาแห่งชีวิตแก่มนุษย์โดยมีเงื่อนไขเป็นการเชื่อฟังที่สมบูรณ์ ด้วยการห้ามไม่ให้เขากินผลแห่งต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว ซึ่งจะส่งผลไปถึงความตาย

1. แต่พวกเขาเป็นอย่างมนุษย์ได้ละเมิดพันธสัญญา ที่นั่นเขาทรยศต่อเรา (โฮเชยา 6:7) โมเสสได้เขียนเรื่องความชอบธรรมซึ่งมีพระราชบัญญัติเป็นมูลฐานว่า ¡®คนใดที่ประพฤติตามสิ่งเหล่านั้นจะได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น¡¯ (โรม 10:5)

2. แต่จากต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่ว เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น เพราะว่าเจ้ากินผลจากต้นนั้นในวันใด เจ้าจะตายแน่ในวันนั้น¡± (ปฐมกาล 2:17)

จากคำถามของบทเรียนส่วนที่แล้ว เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าควบคุมสิ่งทรงสร้างทั้งหมดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย ตอนนี้เราก็จะมาเรียนว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะสำแดงการปกครองของพระองค์ในปฐมกาลแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์อย่างไร ซึ่งนั่นหมายถึงเรื่องของพันธสัญญาแห่งชีวิตนั่นเอง ทั้งนี้ ในฐานะที่เราได้เห็นเมื่อเราจากคำถามที่ 20 ว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงการปกครองพิเศษกับมนุษยชาติ ด้วยการที่ให้เขามีพันธสัญญาที่ใหม่กว่าและดีกว่า ซึ่งเรียกว่าพันธสัญญาแห่งพระคุณ โดยพันธสัญญานี้พระเจ้าทรงนำการทรงเรียกของพระองค์มาสู่ความรอดนิรันดร์ (ให้เปรียบเทียบ 2 พันธสัญญานี้ในภาพประกอบที่ 9a) และในบทเรียนนี้เราก็จะมาพิจารณา สิ่งต่างๆ ในปฐมกาลก่อนที่มนุษย์จะทำบาปต่อพระเจ้า

ตามบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบของคณะเพรสไบทีเรียนที่เอาไว้สอนเด็กเล็กๆ ที่บอกว่า ¡°พันธสัญญาคือข้อตกลงระหว่างสองคนหรือมากกว่า¡± สิ่งนั้นอาจจะยังเป็นการอธิบายที่ไม่เพียงพอเมื่อพูดถึงพันธสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เพราะเราต้องไม่คิดไปเองว่าพระเจ้าและมนุษย์นั้นมีความเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ เมื่อพระเจ้าเข้ามาสู่พันธสัญญากับมนุษย์ไม่ได้หมายความว่าเป็นพันธสัญญาแบบ 50 - 50 พระเจ้าไม่ได้ทรงปรึกษากับมนุษย์เพื่อที่จะตัดสินใจว่า พันธสัญญานั้นจะเป็นอย่างไร แล้วก็จะเขียนด้วยถ้อยคำอะไรบ้างในพันธสัญญานั้น แต่ทว่าวพระเจ้านั้นทรงมีอธิปไตยที่จะครอบครองอย่างสมบูรณ์ในการทรงสำแดงของพระองค์เหนือพันธสัญญาของพระองค์ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า พระองค์เองเท่านั้นที่ตัดสินใจว่าพันธสัญญานั้นควรจะเป็นอย่างไร พระองค์เองเท่านั้นที่ตัดสินใจว่าจะใส่ถ้อยคำอะไรบ้างลงไปในพันธสัญญานั้น และพระองค์เองเช่นกันที่เป็นคนกำหนดให้มีพันธสัญญาระหว่างพระองค์กับมนุษย์ เมื่อเรายึดถือความจริงต่างๆแบบนี้อยู่ในใจแล้ว ก็จะเป็นป้องกันอันตรายของการเข้าใจผิดเมื่อเราพูดถึงพันธสัญญาแรกในฐานะที่เป็นพันธสัญญาแห่งชีวิตหรือเป็นพันธสัญญาแห่งการกระทำ และอันตรายของการเข้าใจผิดนั้นที่เราจะต้องระมัดระวังก็คือ การที่เราเผลอไปคิดว่ามนุษย์สามารถที่จะเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากพระเจ้าได้ ทั้งนี้พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างชัดเจนว่าการคิดแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าถ้าเราจินตนาการว่าคนๆหนึ่งไม่เคยทำบาปเลย แต่คนๆนี้มากระทำพันธสัญญากับพระเจ้า ในกรณีแบบนี้พระเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นหนี้อะไรเขาเหมือนกัน เหมือนอย่างที่ในพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า นายจะขอบใจบ่าวนั้นผู้บ่าวทำตามคำสั่งหรือ เช่นเดียวกันเมื่อพวกท่านทำสิ่งสารพัดที่เราบัญชาไว้กับท่านแล้วก็จงพูดด้วยว่า เราเป็นบ่าวที่ไม่ได้มีบุญคุณต่อนาย เพียงแต่ทำตามหน้าที่ที่ควรจะทำเท่านั้น (ลูกา 17:9-10)

ในภาพประกอบของบทนี้ เราเห็นเด็กคนนี้และสุนัขของเขา ในมือของเด็กคนนี้มีกระดูก และเขากำลังให้กระดูกนี้แก่สุนัขของเขา แต่ก่อนที่เขาจะให้กระดูกนี้แก่สุนัขนั้น เขาต้องการให้สุนัขเชื่อฟังเขาโดยการนั่งลงตามคำสั่งของเขา ซึ่งเรื่องนี้ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าให้กับมนุษย์ แน่นอนเราสามารถเห็นจากภาพประกอบนี้ได้ว่า เด็กคนนี้และสุนัขของเขาไม่ได้ทำข้อตกลงอะไรต่อกัน มีเพียงเด็กคนนี้ เด็กคนนี้เท่านั้น ที่ตัดสินใจที่จะให้กระดูกแก่สุนัขของเขา แล้วก็เป็นเด็กคนนี้เช่นกัน เด็กคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินใจว่าสุนัขของเขาต้องทำสิ่งใดๆเพื่อที่จะได้กระดูกนั้น เฉกเช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถสรุปได้ว่าสุนัขนั้นได้ทำงานอะไรเพื่อที่จะแลกกระดูก เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่หน้าที่ของมันเท่านั้นที่จะเชื่อฟังสิ่งที่นายของมันสั่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้รางวัลอะไรก็ตามก็ต้องเชื่อฟัง แล้วถ้าเราจะพูดว่ามันเป็นการกระทำของสุนัขตัวนี้ที่แสดงออกมา เราก็ไม่ได้หมายความว่าสุนัขตัวนี้ได้รับการจ่ายราคาเป็นกระดูกสำหรับการเชื่อฟังของมัน สิ่งนี้เป็นเพราะว่านายของมันตัดสินใจที่จะทำเงื่อนไขว่าเขาจะให้รางวัลสุนัขของเขาด้วยของขวัญก็คือกระดูก ซึ่งก็เป็นเหมือนกันกับเมื่อเราพูดถึงเรื่องพันธสัญญาเกี่ยวกับการกระทำนั้น เราไม่ได้หมายความว่าอาดัมสามารถทำสิ่งใดๆซึ่งทำให้พระเจ้าเป็นหนี้เขาได้ ซึ่งทำให้พระองค์ต้องให้บางสิ่งบางอย่างตอบแทนเขา แต่เราหมายความว่าพระเจ้านั้นทรงโปรดปรานที่จะเรียกร้องการเชื่อฟังอย่างถูกต้องในฐานะที่เป็นเงื่อนไขของรางวัลที่พระองค์จะทรงให้ เราเรียกสิ่งนี้ว่าพันธสัญญาแรกซึ่งเป็นพันธสัญญาแห่งชีวิต และเพราะว่า นี่เป็นเรื่องของชีวิตซึ่งพระเจ้าสัญญาให้กับอาดัมเฉกเช่นเดียวกับเด็กน้อยคนนี้สัญญาว่าจะให้กระดูกกับสุนัขของเขา นอกจากนี้เรายังเรียกว่าพันธสัญญาแห่งการกระทำเพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องให้อาดัมนั้นเชื่อฟังพระองค์ก่อนที่พระองค์จะทรงให้รางวัล

ในบทเรียนต่อไปอีก 2 บทเรียนเราจะเห็นว่าอาดัมไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้า และนั่นก็ทำให้มวลมนุษยชาตินั้นตกลงไปอยู่ในความโศกเศร้าของความบาป อย่างไรก็ตามเราต้องการที่จะชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงว่า ในพันธสัญญาของชีวิตหรือที่เรียกว่าพันธสัญญาของการกระทำนี้ ไม่มีอะไรเลยในที่จะเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่อ อาดัมหรือต่อมวลมนุษยชาติ สาเหตุที่เราพูดอย่างนี้ก็มีเหตุผลอยู่หลายประการด้วยกันคือ (1) อาดัมถูกสร้างขึ้นมาด้วยความสามารถ ที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเขาได้ ดังที่พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนเที่ยงธรรม (ปัญญาจารย์ 7:29) ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำบาป และแม้แต่ซาตานก็ไม่สามารถทำให้อาดัมทำบาปด้วย เรื่องนี้พระคัมภีร์ให้คำอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่า อาดัมไม่ได้ถูกล่อลวง ( 1 ทิโมธี2:14) ซึ่งนั่นแสดงว่าอาดัมรู้ว่าซาตานกำลังทดลองเขาให้ทำบางสิ่งซึ่งเขาไม่ควรจะทำ (2) พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งอื่นๆเอาไว้ให้อาดัมกระทำเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกระทำสิ่งที่เป็นการไม่เชื่อฟัง ทั้งนี้พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ในพระธรรมปฐมกาลว่า พระยาห์เวห์สั่งมนุษย์นั้นว่าผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้เจ้ากินได้ตามใจชอบ (ปฐมกาลบทที่ 2:16) และพระคัมภีร์ ก็ได้เปิดเผยอีกว่ าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นช่างแสนดี (ปฐมกาล 1:31) ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้อาดัมได้รับประทานสิ่งอื่นๆได้ ก็ทำให้อาดัมยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปละเมิดสิ่งที่พระเจ้าห้ามแต่อย่างใด (3) ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงบอกถึงเรื่องของโทษที่ถึงความตาย ในกรณีที่อาดัมไม่เชื่อฟัง นั่นก็แสดงว่ามีเหตุผลที่ยอดเยี่ยมมากมายที่ทำให้อาดัมสามารถหลีกเลี่ยงการไม่เชื่อฟังที่จะเกิดขึ้นนั้นได้ และถึงแม้ว่าจะแน่นอนว่ามนุษย์ทั้งหมดนั้นมีความบาปไปด้วยเมื่ออาดัมล้มลงในการละเมิดครั้งแรกของเขา เราก็จะตระหนักได้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอะไรสำหรับอาดัมเลย

อย่างไรก็ตามในภาพประกอบนั้นเราเห็น เด็กคนนี้และคุณพ่อของเขา เด็กคนนี้อาจจะถามว่าคุณพ่อทำไมผมถึงเกิดมามีสัญชาตินั้นสัญชาตินี้ คำตอบก็คือพ่อก็จะต้องบอกว่าที่ลูกเกิดมามีสัญชาตินั้น สัญชาตินี้ ก็เพราะว่าพ่อและแม่มีสัญชาตินั้นๆ ด้ว ยเหตุนี้ เด็กคนหนึ่งจึง เกิดมาพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่เป็นของพ่อแม่ของเขา และถ้ามีใครจะถามต่อไปว่าเด็กคนนี้เคยบ่นว่าบ้างไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่เขามีสัญชาตินั้นๆ แน่นอนว่าคงไม่บ่น และก็ควรจะขอบคุณพ่อแม่เสียด้วยซ้ำที่ทำให้เขามีสิทธิในการอยู่ในประเทศนั้นๆได้ เฉกเช่นเดียวกันที่เราต้องพูดว่าไม่มีอะไรไม่ยุติธรรมในเรื่องของการล้มลงในบาป หรือในเรื่องของการที่เราในฐานะสมาชิกของครอบครัวแห่งมวลมนุษยชาติที่ต้องเกิดมาบาปเกิดมาในสถานภาพของอาดัม อย่างไรก็ตามถ้าอาดัมรักษาพันธสัญญาแห่งชีวิตหรือที่เรียกว่าพันธสัญญาแห่งการกระทำเอาไว้ได้ เราก็จะได้ประโยชน์ไปด้วยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามอาดัม ก็ได้ละเมิดพันธสัญญานั้นไปแล้ว เราก็จึงต้องมีความทุกข์และมีผลกระทบต่อเนื่องตามมาด้วย ดังนั้นถ้าเราบ่นต่อว่าพระเจ้าว่าทำไมเราถึงต้องถูกนับเป็นคนบาปไปด้วยเพราะว่าการล้มลงของอดัม นั่นก็คงจะเป็นบาปอย่างแน่นอนที่เราบ่นเช่นนั้น

แต่ว่า ซาตานจะสามารถได้รับการอนุญาตให้ทดลอง บรรพบุรุษของเราได้อย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงสงวนรักษาการปกครองเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด และเหนือการกระทำทุกอย่างของสรรพสิ่งนั้น ทั้งนี้ ตามที่กล่าวไว้ในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการคำตอบในส่วนของคำถามที่ 11 สิ่งนี้ก็เช่นเดียวกันที่ เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แล้วเราจะพูดได้อย่างไรว่า เมื่ออาดัมล้มลงในบาปนั้นเป็นความผิดของเขาเพียงคนเดียว เราจะพูดได้ว่าทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้ซาตานทดลองบรรพบุรุษของเรา และเราจะกล่าวโทษบรรพบุรุษของเราหรือกล่าวโทษตัวเองได้หรือไม่ว่ามีบาปเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ ขอให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครเลยนอกจากพระเจ้า ที่จะสามารถเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างถ้วนถี่ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์คนไหนสามารถที่จะอธิบายสิ่งนี้ได้ และไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวซึ่งเราควรจะทำที่จะตอบคำถามต่างๆเหล่านี้ เราควรจะยอมรับ ถ้อยคำในพระคัมภีร์แล้วก็พึงพอใจกับถ้อยคำนั้น ทั้งนี้พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างง่ายๆถึง 2 สิ่งดังนี้คือ (1) พระเจ้าทรงควบคุมเหนือสิ่งทรงสร้างทั้งหมดและเหนือการกระทำของสิ่งทรงสร้างนั้น (2) พระเจ้าไม่ใช่ต้นกำเนิดของบาป อย่างไรก็ตามพระองค์ได้ทรงเก็บวิธีการที่พระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่เป็นผู้ให้กำเนิดบาปเอาไว้เป็นความลับ อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าพระคัมภีร์ได้เขียนเอาไว้ว่า ในพระคริสต์นั้นเราได้รับการส่งเลือกด้วยคือถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามพระดำริเเห่งพระทัยของพระองค์ (เอเฟซัส 1:11) และพระคัมภีร์บอกต่อไปว่า อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่าพระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง พระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย ยากอบ 1:13 พระยาห์เวห์ทรงชอบธรรมในพระมรรคาทั้งสิ้นของพระองค์ และทรงบริสุทธิ์ในการกระทำทั้งสิ้นของพระองค์ (สดุดี 145:17)

กล่าวโดยสรุปแล้วขอให้เราสังเกตว่าบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ สอนเราถึงสิ่งที่เป็นความจริงในประวัติศาสตร์ หรือเราจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า สิ่งที่บันทึกเอาไว้ในปฐมกาลบทที่ 1 ถึงบทที่ 3 นั้นก็เป็นคำพยานที่สัตย์ซื่อของเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ในช่วงเวลาและสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง ทั้งนี้ เป็นเรื่องสำคัมากที่จะต้องเน้นย้ำสิ่งนี้ในยุคของเราเพราะว่า มีอันตรายมาจากแนวคิดทางศาสนศาสตร์สมัยใหม่ ที่ปฏิเสธว่าอาดัมนั้นเป็นมนุษย์ที่แท้จริง และปฏิเสธว่ามนุษยชาตินั้นได้มีความบาปเพราะคนๆเดียวนั้น และปฎิเสธการที่มนุษยชาติล้มลงไปกับอาดัมในการละเมิดครั้งแรก นักศาสนศาสตร์สมัยใหม่เหล่านี้ ถ้าเขาจะพูดถึงอาดัม เขาก็จะพูดว่าเรื่องของอาดัมเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือประมาณว่า อาดัมนั้นหมายถึงถ้อยคำ ไม่ได้มนุษย์จริงๆ อย่างไรก็ตามเราได้รู้ว่ามนุษย์รู้นานมาแล้วว่าพวกเขาเป็นคนบาปและเป็นพวกที่เต็มไปด้วยความเศร้า และสมมุติว่าพวกเขาเริ่มต้นที่จะพยายามอธิบายข้อเท็จจริงนี้ เมื่อเวลาผ่านไปเรื่องราวเหล่านี้ก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับสวนซึ่งเรียกว่าสวนสวรรค์และเกี่ยวกับคนที่เรียกว่าอาดัม ซึ่งก็จะกลายเป็นแค่นิทานปรัมปรา และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันควรจะเป็นจริง ไม่ใช่เป็นแค่คำอุปมา หรือเป็นเพียงแค่เทพนิยาย หรืออาจจะบอกว่ามันเป็นสิ่งดีเพราะว่ามันให้บทเรียนทางศีลธรรมที่ดี ตามที่คำสอนของนักศาสนศาสตร์ยุคใหม่ทำให้มันดูน่าสนใจ อ ย่างไรก็ตามครูสอนที่สอนผิดเหล่านี้อาจจะบอกให้เราเชื่อในเรื่องราวของอาดัม แต่เขาหมายความว่าให้เราเชื่อแค่เพียงคุณค่าของเรื่องราว ไม่ได้หมายถึงให้เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์บอกว่า เพราะว่าคนจำนวนมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังอย่างไร คนจำนวนมากกว่าเป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังอย่างนั้น (โรม 5:19) และถ้าเราปฏิเสธว่าอาดัมเป็นคนจริงๆ ก็เท่ากับว่าเราปฏิเสธพระเยซูคริสต์ที่พระคัมภีร์บอก เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ถ้าเราไม่เชื่อฟังสิ่งที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับอาดัม และสิ่งที่เขาทำภายใต้พันธสัญญาแห่งชีวิตหรือที่เรียกว่าพันธสัญญาแห่งการกระทำ เราก็จะไม่ สามารถเชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแก่เรา ซึ่งเรียกว่าพันธะสัญญาแห่งพระคุณได้เลย

คำถาม
1 คำว่าพันธสัญญาหมายความว่าอย่างไร
2 มีพันธสัญญา กี่อย่าง ในนั้น ให้บอกชื่อมา
3 เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจหรือไม่ที่จะพูดว่า พันธสัญญาคือข้อตกลงระหว่างคนสองคนหรือมากกว่า ทำไมจึงตอบเช่นนั้น
4 อะไรคืออันตรายที่สำคัญที่สุดถ้าเราไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับ พันธสัญญาแห่งชีวิต
5 ภาพประกอบที่ 9 แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของการกระทำ ได้อย่างไร
6 อะไรคือเหตุผลของการท่าเราจะไม่บอกว่าพันธสัญญานั้นไม่ยุติธรรม
7 ภาพประกอบที่ 10 พิสูจน์เรื่องราวในข้อ 6 ได้อย่างไร
8 การกระทำยิ่งใหญ่อะไรที่ไม่ได้รับการอธิบายไว้ในพระคัมภีร์
9 เราจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องราวของการกระทำยิ่งใหญ่นี้
10 พวกนักศาสนศาสตร์ ที่มีมุมมองแบบยุคใหม่บอกว่าเรื่องราวของอาดัมเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเขาบอกอย่างนั้น เขาหมายความว่าอย่างไร
11 ทำไมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องเชื่อฟังในปฐมกาลบทที่ 1-3 ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆ




บทที่ 11

คำถามที่ 13 บรรพบุรุษ ของเรา ซึ่งหมายถึง อาดัมยังคงมีสถานภาพ ดังเช่นตอนที่เขาถูกสร้างขึ้นมาหรือไม่คำตอบ บรรพบุรุษของเรา ได้ตกลงมาจากสภาพเมื่อเขาได้ถูกสร้าง โดยการทำบาปต่อพระเจ้า และตามเจตจำนงเสรีที่เขามีในการเลือก
คำถามที่ 14 บาปคืออะไรคำตอบ บาป คือความต้องการที่นำไปสู่การล่วงละเมิดบัญญัติของพระเจ้า
คำถามที่ 15 อะไรคือความบาปที่ทำให้บรรพบุรุษของเราตกลงไปจากสภาพที่พวกเขาได้ถูกสร้างขึ้นมา
คำตอบ ความบาปซึ่งทำให้บรรพบุรุษของเราตกจากสภาพที่พวกเขาถูกสร้างขึ้นมาก็คือบาปแห่งการกินผลไม้ต้องห้าม



ข้อพระคัมภีร์

พระเจ้าสร้างมนุษย์มาในสภาพที่ไร้เดียงสา มนุษย์นั้นเป็นลักษณะของพระเจ้าที่แท้ในความรู้ ในความชอบธรรม และในความบริสุทธิ์ แต่นั่นก็ไม่ใช่สภาพที่เขาจะ สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้โดยไม่มีเงื่อนไขอะไร พระเจ้าได้ให้ทางเลือกแก่บรรพบุรุษของเรา 2 ทางเลือก ทางแรกนั้นเป็นทางเดินสู่ความเชื่อฟังที่สมบูรณ์ ซึ่งทางนี้สามารถที่จะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ ตามที่พระคัมภีร์กล่าวเอาไว้ว่าบทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อแต่ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตามในอีกทางเลือกหนึ่งเป็นทางเลือกแห่งความไม่เชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความตาย ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาลว่า แต่เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นแห่งการรู้ดีรู้ชั่ว เพราะถ้าเจ้ากินผลของมันเมื่อใดเจ้าจะตายแน่นอน (ปฐมกาลบทที่ 2:17) ซึ่งนี่ก็คือ สิ่งที่เราต้องคิดเมื่อเราอ่านบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบว่า บรรพบุรุษของเรานั้นได้ถูกสร้างให้มีเจตจำนงเสรีในการตัดสินใจ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าบรรพบุรุษของเรา มี 2 สิ่งที่สำคัญคือ

(1) พวกเขามีเสรีภาพที่จะเดินตามทางแห่งความเชื่อฟังไปสู่ชีวิต หรือมีเสรีภาพที่จะเดินตามทางแห่งการไม่เชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความตาย เราพูดว่าพวกเขามีเสรีภาพ เพราะว่าไม่มีใครที่ไปบังคับเขาให้ไปในทางไหน แม้แต่ซาตานก็ไม่สามารถที่จะบังคับเขาให้ทำในสิ่งที่ซาตานต้องการให้เขาทำ ซาตานได้แต่เพียงทดลองเขา และก็เพียงแค่พูดโน้มน้าวเขาในสิ่งที่ซาตานต้องการให้เขาทำเท่านั้นและเขาก็ทำออกมาจากความปรารถนาของเขาเอง

(2) อย่างที่ 2 พวกเขามีความสามารถในการเลือกทางใดทางหนึ่งของทางเลือกสองทางนั้น หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่าเขามีอำนาจภายในตัวเขาเองเพราะว่าพระเจ้าสร้างให้มนุษย์นั้นมีอำนาจที่จะทำดีหรือจะทำชั่ว ซึ่งเราจะเห็นเรื่องนี้ได้ในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบที่เราจะมีการเรียนต่อไปอีก ซึ่งนี่เป็นอำนาจหรือความสามารถที่จะทำดีหรือทำชั่ว ในชีวิตที่เหลือของเขาทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทำบาปแรก อดัมและมนุษย์คนอื่นๆซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเขาก็ยังคงมีเสรีภาพที่จะทำดีหรือทำชั่วได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรดีอีกแล้ว หรืออาจจะพูดได้อย่างว่าตอนนี้พวกเขาสูญเสียเสรีภาพที่จะทำตามใจของเขาซึ่งเขามีในตอนแรก ถ้าเราพูดว่ามนุษย์มีเจตจำนงเสรี เราก็พูดถูก ถ้าเราหมายความว่าเขาไม่ได้ถูกบังคับให้ทำชั่ว โดยบางสิ่งบางอย่างที่บังคับเขาหรือว่าคนอื่น ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกเขา แต่ความคิดเรื่องเจตจำนงเสรีของเรานั้นจะไม่ถูกต้องถ้าเราหมายความว่ามนุษย์นั้นยังสามารถที่จะทำดีได้ ทั้งนี้ในพระคัมภีร์บอกว่า ทุกคนล้วนหันเหไปพวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดีไม่มีแม้แต่คนเดียว (โรม 3:12)

บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบสอนเราอย่างชัดเจนว่าเรื่องของอาดัมและเอวานั้นเป็นเรื่องจริง และนี่เป็นมุมมองและประเด็นสำคัญสำหรับยุคของเรา เพราะว่าครูที่สอนผิดมักจะปฏิเสธสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าว แต่สิ่งที่ทำให้คำสอนของบุคคลเหล่านั้นเป็นอันตรายก็คือ พวกเขาได้ปฏิเสธคำสอนของพระคัมภีร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการล้มลงในบาปในสวนเอเดน คำสอนของพวกเขาจึงอันตรายในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งบางครั้งครูที่สอนอยู่ในกลุ่มนี้อาจจะยากที่จะพูดว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีความจริงในเรื่องราวของอาดัม และเอวาข้าพเจ้ายอมรับข้าพเจ้าก็สอนคนอื่นอย่างนี้ด้วย แต่สิ่งที่เขาพูดนี้หมายความว่าอย่างไร เขาหมายความว่า มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่าอดัม ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในช่วงเวลาและสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง ผู้ซึ่งกินผลไม้ ที่เป็นการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า เขาหมายความว่าอย่างนี้หรือไม่ เปล่าเลยเพราะสิ่งที่เขาหมายความก็คือเรื่องนั้น เป็น ตำนานที่เป็นจริง คำว่าเป็นจริงนี้เป็นภาษาของนักคิดสมัยใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นจริงตามตัวอักษร แต่หมายความว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเรื่องราวคติสอนใจ สำหรับนักคิดสมัยใหม่เรื่อง ของอดัมกินผลไม้ต้องห้ามนั้น เป็นเพียงแค่นิทานปรัมปราหรือเป็นเพียงแค่เทพนิยายซึ่งแสดงออกมาในเชิงของคำอุปมาอุปไมยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประสบการณ์ของมนุษย์ทั้งหมด สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในครั้งหนึ่ง สิ่งนี้มันเป็นเพียงภาพสัญลักษณ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกๆคน สาเหตุที่มีมุมมองที่ผิดๆแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นการทำให้เข้ากับการสอนที่เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการและก็ระบบคิดต่างๆของมนุษย์ซึ่งพยายามที่จะอธิบายการดำรงอยู่ของสิ่งต่างๆโดยที่ไม่มีพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าเรื่องของอาดัมและเอวาและการล้มลงในบาปนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จริงๆ พระเยซูก็ยอมรับสิ่งนี้ว่าเป็นเรื่องจริงด้วยให้ดูใน มัทธิวบทที่ 19:4 แล้วก็อัครทูตเปาโลก็พูดสิ่งนี้ไว้ในโรมบทที่ 5: 12-21

เมื่อเราลองอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ บาปครั้งแรกในปฐมกาลบทที่ 2:17 และในปฐมกาลบทที่ 3: 1-8 เราจะเห็นสิ่งหนึ่งอย่างค่อนข้างที่จะชัดเจนเลยก็คือ พระเจ้าพระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด และก็มีอยู่ทางเดียวที่อาดัมจะรู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งใดผิด ก็คือต้องฟังพระคำของพระเจ้า ดังนั้นกฎเดียวที่อาดัมมีเพื่อที่จะนำเขาว่าอะไรถูกอะไรผิดนั่นก็คือคำสั่งของพระเจ้า และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมซาตาน ถึงพยาม จงใจ ที่จะทดลองเขาในจุดนี้ เพราะซาตานบอกในปฐมกาล 3: 4 ว่า เจ้าจะไม่ตายจริงหรอก ซึ่งตรงจุดนี้ทำได้รู้ได้ว่าซาตานทดลองอาดัมให้ละเลยถ้อยคำของพระเจ้า และก็ให้คิดว่าถ้อยคำของพระเจ้านั้นไม่ใช่เป็นกฎที่แน่นอน ซาตานล่อลวงอาดัมให้คิดว่าเขาสามารถที่จะตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองว่าอะไรดี เพื่อที่จะอธิบาย สิ่งนี้ ขอให้เราคิดอย่างนี้ด้วยกันคือ (1) มุมมองของพระเจ้าเกี่ยวกับบาปก็คือ บาปนั้นเป็นความต้องการที่ก่อรูปไปสู่การละเมิดกฎของพระเจ้า (2) ซาตานแนะนำอดัมว่าบาปควรจะได้รับการให้ความหมายว่าเป็นอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แน่นอนเรารู้ว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายได้ว่าบาปคืออะไร บาปไม่ใช่การรวมกันของสิ่งที่ผิดเพราะว่าพระเจ้าบอกว่าผิด และเป็นสิ่งผิดเพราะว่ามันทำร้ายเรา และถ้าเราได้รับความหมายของบาปที่ผิดไปอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่สามารถค้นพบว่าบาปของเรานั้นมันใหญ่แค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเราจะไม่ได้เห็น ข้อตกลง ของมนุษย์ทั้งมวลที่ตกลงกัน ได้ด้วยดี เพราะทั้งนี้สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอันตรายต่อคนนึงก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นอันตรายต่ออีกคนหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่เหมือนว่าบาปของคนหนึ่งอาจจะไม่บาปของอีกคนหนึ่งก็ได้

แต่ด้วยคำจำกัดความของพระเจ้าเกี่ยวกับบาป เราจึงรู้อย่างแน่ชัดว่าเรายืนอยู่ตรงจุดไหน และกฎนี้ก็เป็นกฎที่เหมือนกันของมนุษย์ทุกคนด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้ในภาพประกอบในบทนี้ว่ามีบาป 2 อย่าง อย่างแรกในภาพประกอบ A เป็นบาปแห่งการละเลย ซึ่งเป็นเสมือนความต้องการที่ก่อรูป ไปต่อต้านกฎ เพราะว่าเมื่อเรามีหน้าที่ที่จะต้องกระทำแต่เราไม่กระทำหน้าที่นั้น เราจึงไม่ได้ทำตามกฎของพระเจ้า และเรามีมลทินเพราะว่าเราไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรากระทำ หลายคนไม่เคยคิดในสิ่งนี้เมื่อเขาคิดเรื่องบาป เขาคิดถึงบาปอีกแบบหนึ่งซึ่งหมายถึงบาป ของการ ล่วงละเมิดทางศิลธรรม เพราะว่าเขาไม่ได้สบถสาบาน หรือขโมย ไม่ได้ฆาตกรรม เขาจินตนาการว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาปตัวยงอะไร ซึ่งแน่นอนว่าเขาอาจจะเป็นคนบาปตัวยงก็ได้เพราะว่าเขาไม่ได้นมัสการพระเจ้า และเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโตอันศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เป็นต้น

ในอีกด้านหนึ่งเราเห็นว่าบาปนั้น อาจจะเป็นเหมือนการละเมิดกฎของพระเจ้าซึ่งนั่นหมายความว่าเรามีมลทินเพราะว่าเราทำในสิ่งซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการให้เรากระทำ บาปของอดัมในการกินผลไม้ต้องห้ามเป็นตัวอย่างของการล่วงละเมิดนั้น

ถ้าเรายึดถือความหมายของคำว่าบาปอยู่ในใจ เราก็จะตระหนักว่าบาปนั้นเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำลงไปอย่างร้ายแรง ทั้งนี้บางคนอาจจะบอกว่าเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าบาปเล็กๆน้อยๆซึ่งเปรียบเสมือนเด็กผู้ชายคนนึงกินแอปเปิ้ลจากต้นไม้ของเพื่อนบ้าน จะสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์อันร้ายแรงเช่นนั้น ซึ่งหมายถึงการที่สวนสวรรค์ไม่มีอีกต่อไป และมีความตายเข้ามาและก็เรื่องของนรกด้วย เมื่อเราเห็นว่าบาปนั้นเป็นความต้องการต่างๆที่ก่อรูปไปสู่การล่วงละเมิดกฎของพระเจ้า เมื่อเราเห็นว่าบาปนั้น เป็นสิ่งที่รุนแรงเพราะว่ามันเป็นการต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ผู้ทรงแสนดีและผู้ทรงบริสุทธิ์ เมื่อเราคิดอย่างนี้เราก็จะเห็นว่ามันไม่สมควรเลยที่จะกระทำสิ่งเหล่านั้น คนที่พูดถึงบาปยังไม่เข้าใจนั้น นั่นก็แสดงว่าพวกเขา ไม่ได้มองเห็นภาพในทางที่ถูก เพราะเราจะต้องมองให้เห็นในการเปิดเผยของพระเจ้าและในกฎของพระองค์ ถ้าเราต้องการจะเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน ก็ขอให้เราหยุดสักครู่ และคิดว่า (1) อาดัมได้ ฝ่าฝืนพระบัญชาของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ (2) เขาทำสิ่งนั้นลงไปในขณะที่เขามีเสรีภาพและมีความสามารถอย่างเต็มที่ที่จะทำในสิ่งที่ถูก (3) เขาได้รับการเตือนภัยล่วงหน้าเกี่ยวกับความร้ายแรงของผลกระทบของการไม่เชื่อฟังครั้งนี้ และเมื่อเราคิดถึง 3 สิ่งนี้แล้วเราก็จะเห็นว่าเรื่องของบาปที่อาดัมได้ทำนั้นเป็นสิ่งที่ร้ายแรงแค่ไหน

คำถาม

1 อะไรคือทางเลือกสองทางที่มีให้แก่อดัม
2 อะไรคือองค์ประกอบของ อิสรภาพของอาดัมที่จะตัดสินใจ
3 อิสรภาพในข้อที่สองนั้นเป็นสิ่งที่เราในยุคนี้มีเหมือนกันหรือไม่
4 พวกนักคิดสมัยใหม่เชื่อในเรื่องราวของอาดัมว่าเป็นจริงหรือไม่ ให้อธิบาย
5 ทำไมเราถึงต้องระวังคำสอนสมัยใหม่เกี่ยวกับเรื่องของอาดัม
6 ให้ระบุมุมมอง 2 อย่างเกี่ยวกับบาปซึ่งอาดัมจะต้องเลือก
7 บาปมี 2 ประเภทคืออะไร
8 ให้ตัวอย่างของสิ่งนี้
9 ทำไมหลายๆคนถึงไม่ตระหนักว่า พวกเขา เป็นคนบาป
10 ทำไมถึงผิดที่จะพูดว่า บาปของอาดัมเป็นแค่บาปเล็กๆ
11 ให้ระบุเหตุผลบางอย่าง ว่าทำไมบาปของอาดัมถึงเป็นบาปที่ใหญ่หลวง



บทที่ 12

คำถามที่ 16 มนุษยชาติทั้งหมด ตกจากสภาพเดิมในการละเมิดครั้งแรกของอาดัมด้วยหรือ

คำตอบ สัญญาที่ทำไว้กับอาดัมนั้น มิใช่เป็นสัญญาเฉพาะตัว แต่เพื่อเชื้อสายของเขาด้วย มนุษยชาติทั้งหมดสืบเนื่องมาจากเขา โดยถือกำเนิดสืบทอดมาตามธรรมชาติ จึงเป็นผู้ผิดและตกจากสภาพเดิมในการละเมิดครั้งแรกของอาดัมด้วย

คำถามที่ 17 มนุษย์ได้ตกไปอยู่ในสภาพใด
คำตอบ มนุษย์ได้ตกลงไปในสภาพความบาปและความทุกข์

ให้ใส่ พระคัมภีร์ด้วย 3 ชุด

ในบทนี้เราจะมาพิจารณาสิ่งหนึ่งที่ เป็นหลักคำสอนที่ยากที่สุดที่มนุษย์จะรับได้ ซึ่งนั่นก็คือการที่เราทั้งหลายซึ่งเป็นคนบาป แต่เกลียดที่จะได้ยินพระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับความบาป และเรื่องสภาพอันน่าเศร้าของเรา อย่างไรก็ตามสิ่งที่แปลกก็คือ ไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากความจริงโดยการเกลียดที่จะได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความจริงเหล่านั้น จริงหรือไม่ที่มนุษย์ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนบาป จริงหรือไม่ที่มนุษย์ทั้งหมดต้องตาย ถ้ามนุษย์ทั้งหมดต้องตายและถ้าความตายนั้นเป็นการลงโทษจากบาปแล้ว ทุกๆคนสามารถ จะปฏิเสธได้อย่างไรเล่าว่ามนุษยชาติทั้งหมดนั้นล้วนมีความบาปในอาดัม และเสื่อมสภาพไปกับอาดัมด้วยผ่านทางการล่วงละเมิดครั้งแรกนั้น หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าความแตกต่างระหว่างคริสเตียนผู้ซึ่งรับเอาถ้อยคำของพระเจ้าเอาไว้และผู้ที่ไม่เชื่อผู้ซึ่งปฏิเสธถ้อยคำของพระเจ้านั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความบาปและสภาพอันน่าเศร้า เพราะแน่นอนว่าข้อเท็จจริงที่ว่าความบาปและภาพอันน่าเศร้าของมนุษย์นั้นก็อยู่กับเขาทั้งสองฝ่าย เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเราทุกคนก็ต้องประสบความตายอย่างแน่นอน ความแตกต่างของทั้งฝ่ายก็คือ คริสเตียนนั้นมีความเข้าใจในเรื่องความรอดจากโทษบาป ซึ่งทำให้เกิดการกลับใจใหม่ แต่คนที่ไม่เชื่อไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ และด้วยเหตุนี้เองเราจึงมาพิจารณาประเด็นนี้กัน

(1) สิ่งแรกก็คือเราต้องเข้าใจ ก็คือเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของอาดัมและสมาชิกของมวลมนุษยชาติ ยกเว้นพระเยซูคริสต์ เพราะทั้งนี้อาดัมและพงศ์พันธ์ของเขานั้นรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งก็เปรียบเสมือนที่กิ่งไม้ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ พระคัมภีร์บอกว่าจากมนุษย์เพียงคนเดียวพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติให้อาศัยทั่วพิภพ พระองค์ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนที่พวกเขาควรจะอยู่ (กิจการ 17:26)

เรามีภาพประกอบเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นหนึ่งเดียวนี้ ซึ่งก็เหมือนกับที่พระเยซูกล่าวว่าต้นไม้ที่เลวไม่สามารถที่จะให้ผลที่ดีได้ ในภาพประกอบนี้เราเห็นต้นไม้ที่เลวซึ่งเด็กคนนี้เพิ่งจะเอาผลของมันมารับประทาน และเมื่อเขากัดผลไม้นั้นเราเห็นว่าเขาทำหน้าตารังเกียจผลไม้นั้นมาก เพราะว่าเขาเห็นว่าผลไม้นั้นมันมีกลิ่นเหมือนจะเสีย ดังนั้นเด็กน้อยคนนี้จึงได้แสดงความไม่พอใจของเขาออกมา แต่ทำไมผลไม้นี้จึงเป็นผลไม้ที่ไม่ดีล่ะ ซึ่งก็แน่นอนว่าสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าต้นไม้นั้นมีที่มาจากรากที่เลว และต้นไม้เหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของผลไม้นั้น เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่ออกมาจากของเลวก็ต้องไปสิ่งที่เลวเท่านั้น

เฉกเช่นเดียวกันที่พระคัมภีร์ได้ทำให้เรามั่นใจว่าไม่มีพงศ์พันธ์คนไหนของอาดัม (ยกเว้นพระเยซู) สามารถที่จะเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากเป็นผลของธรรมชาติที่เสื่อมทราม เหมือนอย่างที่พระธรรมโยบได้กล่าวไว้ว่า ใครเล่าสามารถเอาความบริสุทธิ์ออกจากสิ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีสักคน (โยบ 14:4) มนุษย์จะชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไรผู้ถือกำเนิดจากสตรีจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร (โยบ 25:4) นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่เดียวที่จะสังเกตว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับกฎแห่งจักรวาลนี้ และนี่แหละคือเหตุผลที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบจึงกล่าวว่าพงศ์พันธ์ของอาดัม (ยกเว้นพระเยซู เพราะพระเยซูไม่ใช่เกิดโดยการสืบเขื้อสายโดยธรรมชาติ) รับเอาผลของความบาปที่มาจากการล้มลงของอาดัมไปด้วย อย่างไรก็ตามพระเยซูเจ้าไม่ได้เกิดแบบปกติ พระองค์ไม่ใช่เป็นสายพันธุ์ธรรมชาติของมารีและโยเซฟ เพราะว่าก่อนจะแต่งงาน ทั้งๆที่มารียังเป็นสาวพรหมจารี และไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนไหน ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้มาประกาศว่าเธอจะคลอดบุตรชาย ซึ่งตัวเธอเองยังถามว่า จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี (ลูกา 1:34) ทูตนั้นตอบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์พระสูงสุดจะปกคลุมเธอดังนั้นองค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมาจะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า (ลูกา 1:35) ด้วยเหตุนี้เอง พระเยซูจึงไม่ได้เกิดมาในลักษณะแบบปกติ ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีบาปในอดัมและไม่ล้มลงไปในบาปกับอาดัมด้วย พระเยซูไม่ได้เกิดมาอย่างมีมลทินและไม่ได้เกิดมาในความเสื่อมทราม แต่มนุษย์อื่นๆทั้งหมดนั้น เป็นคนบาปและล้มลงไปกับอาดัมในการล่วงละเมิดครั้งแรกอย่างไม่มีความหวังเลย

(2) อย่างที่สองก็คือ เราต้องเข้าใจว่าอาจจะมีความรู้สึกเกิดขึ้นมาได้ว่าความบาปแรกของอาดัมนั้น ไม่ใช่ความบาปของเรา แต่สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ชัดเจนเมื่อเราถามตัวเองด้วยคำถามนี้ว่า มีคนอื่นๆเกิดขึ้นด้วยหรือในสวนเอเดน เราได้เอามือของเราไปเด็ดผลไม้ต้องห้ามนั้นจริงๆหรือไม่ แน่นอน คำตอบก็คือเราไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะตอนนั้นยังไม่มีเราปรากฏอยู่เลย เมื่อต้นไม้นั้นถูกปลูกขึ้นเป็นครั้งแรก มันก็ยังไม่มีผลอะไร ดังนั้นเมื่ออาดัมได้รับการวางลงไปในสวนเราก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น และยังมีคำถามที่ถามกันมานานแล้วอีกคำถามนึงก็คือ แล้วพระเจ้าจะสามารถตำหนิฉันได้อย่างไรในบางสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำด้วยตัวเอง การตอบคำถามข้อนี้ ก็ต้องใช้ภาพสาธิตของเรื่องของต้นไม้และผลไม้ซึ่งทั้งต้นไม้และผลไม้นั้นไม่มีเสรีที่จะเลือก แต่อาดัมมีและเขาก็เลือกผิด ซึ่งก็ทำให้เราเป็นมลทินไปด้วย ลองมาฟังคำบรรยายเพิ่มเติมกัน

เปาโลบอกในโรม 5:19 ว่า เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์เพียงคนเดียวทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาป ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ว่า อาดัมนั้นเป็นบิดาของมวลมนุษยชาติ และเราก็สามารถพูดได้ว่าอาดัมเป็นตัวแทนสูงสุดผู้ซึ่งกระทำในนามของมวลมนุษยชาติ อย่างไรก็ตามเราได้เขียนในบทเห็นที่ 10 ที่ผ่านมาแล้วว่า สิ่งนี้อาจจะดูเหมือนไม่ยุติธรรมในสายตาหลายๆคน เพราะว่าทำให้เขาต้องเริ่มต้นด้วยสภาพที่มีมลทิน และไม่มีทางเลือกอื่นเลย ซึ่งก็อาจจะเขาอาจจะพูดประมาณนี้ว่า ¡°ถ้าฉันมีโอกาสเดียวกับที่อาดัมมีฉันก็จะไม่บาป แต่อย่างไรก็ตามความบาปของอดัม ก็บังคับให้ฉันต้องรับสภาพนั้นไม่ว่าฉันจะอยากรับหรือไม่¡± แต่ทั้งนี้ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้านั้นได้กำหนดความสัมพันธ์ของเรากับอาดัมก่อนที่อาดัมจะทำบาป และข้อเท็จจริงก็ยังคงมีอยู่ว่า ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเกิดมาในโลกนี้ เราได้รับการถือว่าเรากบฏต่อต้านพระเจ้าเหมือนกับอาดัมเอง นอกจากนี้มนุษย์เองก็แสดงโดยพฤติกรรมธรรมชาติของเขา ก็แสดงว่าว่าเขาเป็นคนบาป และยังสำแดงอยู่ตลอดเวลาว่าเขาอยากเป็นคนบาปเหมือนกับอาดัม ทั้งนี้ในพระคัมภีร์กล่าวเรื่องนี้เอาไว้ว่า ตั้งแต่เกิดคนชั่วก็หลงเตลิด ตั้งแต่ออกจากครรภ์พวกเขาก็เอาแต่ใจและโป้ปด (สดุดี 58:3) หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าพวกเขาแสดงว่าพวกเขา ได้ ยอมที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ ความบาปของอาดัมอย่างเต็มใจเลยทีเดียว

แล้วความยากอีกอย่างหนึ่งในการที่จะเข้าใจเรื่องคนทุกคนมีส่วนในบาปของอาดัมยกเว้นพระเยซูคริสต์ก็คือหลักคำสอนเรื่อง ¡°การทรงสร้างนิยม¡± หลักคำสอนนี้ถือว่าส่วนที่เป็นกายภาพของธรรมชาติของเรามาสู่เราโดยพ่อแม่ของเรา แต่ส่วนที่ไม่ใช่กายภาพซึ่งเป็นจิตใจหรือจิตวิญญาณนั้นมาสู่เราโดยการกระทำของการทรงสร้างอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ร่างกายตามมุมมองนี้ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเสื่อมทรามและเป็นสิ่งที่เลวทรามเพราะว่าความบาปของอาดัม แต่จิตใจจะมีบาปและเป็นสิ่งเลวทรามได้ ก็เพราะว่ามันถูกใส่เข้าไปในร่างกายที่เสื่อมทราม และพระเจ้าก็ไม่ชอบความเสื่อมทรามดังนั้นจิตใจที่มาจากพระเจ้าจึงเสื่อมทรามไมได้ ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าคำสอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ แต่มาจากความคิดที่ผิดไปของชาวกรีกว่าสิ่งที่เป็นวัตถุเช่นร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่เลวทรามแต่สิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณหรือเรื่องจิตใจเป็นสิ่งที่ดี และเป็นไปด้วยเหตุผลนี้เองที่เราเชื่อว่า คำสอนที่ถูกต้องนั้นจะต้องเป็นการที่จิตใจถูกสร้างขึ้นมาโดยพ่อแม่พร้อมกับอวัยวะในร่างกาย เพราะทั้งนี้เมื่อพระคัมภีร์บอกว่า เมื่ออาดัมอายุได้ 130 ปีก็มีบุตรชายเหมือนอย่างเขาตามลักษณะ ปฐมกาล 5:3 ซึ่งพระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้หมายถึงร่างกายเท่านั้นแต่หมายถึง ทั้งหมดของมนุษย์เลย เราเชื่อว่ามุมมองนี้ถูกเพราะว่า (a) อาดัมได้ทำบาปในร่างกายทั้งหมดไม่ใช่แค่ว่าจิตใจหรือจิตวิญญาณเท่านั้นที่บาป และก็ไม่ใช่ว่าร่างกายเท่านั้นที่บาป เพราะอาดัมบาปทั้งร่างกายทั้งวิญญาณ (b) พระคัมภีร์ไม่ได้พูดว่าพระเจ้าสร้างจิตวิญญาณแยกออกมาต่างหาก เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์ และไม่ได้พูดว่าพระองค์ทรงสร้างร่างกายแยกต่างหาก จริงๆแล้วพระคัมภีร์พูดว่าพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวาซึ่งพระองค์ทรงสร้างโดยการให้เขามีร่างกายและจิตวิญญาณ (c) ถ้าอาดัมให้กำเนิดแค่ร่างกายเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็คงพูดว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ที่เขาจะให้กำเนิดตามลักษณะของเขาที่พระคัมภีร์บอก ซึ่งอยู่ในปฐมกาลบทที่ 5:3 เพราะว่าถ้าลักษณะนั้นไม่ได้หมายถึงร่างกายเท่านั้น หรือหมายถึงจิตใจเท่านั้นแต่หมายถึงทั้งมนุษย์เลย (d) สุดท้ายก็คือการเสื่อมทรามของจิตวิญญาณ ไม่ได้รับการบรรยายเอาไว้ในพระคัมภีร์ในฐานะผลของการถูกนำไปติดต่อสัมพันธ์กับร่างกาย (ประมาณว่าจิตใจวิญญาณไม่ได้เสื่อมทรามเพราะกายเสื่อมทราม แต่ทั้งจิตวิญญาณและกายเสื่อมทรามไปด้วยกันทั้งหมด) เพราะว่ามีการบรรยายไว้ แค่ว่าสิ่งนี้ (มลทินบาป) เป็นผลของการเข้าส่วนกับบาปแรกของอาดัม ดังนั้นเป็นเพราะการล้มลงที่นำมนุษย์เข้าไปสู่สถานภาพแห่งความบาปและความเศร้าโศก ไม่ใช่แค่ว่านำวิญญาณเข้าไปอยู่ในร่างกายถึงทำให้เกิดสถานภาพนี้

สิ่งที่จะช่วยได้มากที่จะพิจารณาเมื่อเราคิดถึงการล้มลงของมวลมนุษยชาติผ่านทางความบาปของอาดัม ก็คือ การที่ในพระธรรมโรม 5:12-21 เปาโลพูดถึงการไปด้วยกันระหว่างอาดัมและพระคริสต์ โดยได้พูดในลักษณะที่ว่าคนทั้งปวงนั้น ได้มีบาปในอาดัมและล้มลงไปกับเขา ดังนั้นคนทั้งหลายก็จะได้รับการนับว่ามีความชอบธรรมผ่านทางการเชื่อฟังของพระเยซูคริสต์ ในการเปรียบเทียบที่เป็นไปด้วยกันนี้มีความแตกต่างและมีความเหมือนด้วย ความแตกต่างหลักก็คือการถูกกล่าวโทษของเราในอาดัมนั้นเป็น การลงโทษที่เข้มงวด ในขณะที่การถูกประกาศให้เป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูนั้นเป็นเรื่องของพระเมตตาเพียงอย่างเดียว แต่ประเด็นที่เราปรารถนาที่จะเน้นย้ำตรงนี้ก็คือการที่ หลักการที่นำมนุษยชาติทั้งหลายไปสู่ความมีมลทินบาปก็เป็นหลักการเดียวกับที่นำมนุษยชาติทั้งหลายไปสู่ชีวิตนิรันดร์ด้วย ดังนั้นขอให้เราอย่าต่อต้าน สิ่งที่พระเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับเราในเรื่องของอาดัม และขอให้เรายอมรับว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องและแสนดี ถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม และเหนือสิ่งอื่นใด ขอให้เราน้อมรับเอา พระคุณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ที่มีอย่างเราแบบให้เปล่าในฐานะตัวแทนของเราซึ่งทำให้เรารอด และไม่ว่าจะอย่างไร เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย นอกจากรับเอาความรอดที่มาทางการกระทำของพระเยซูคริสต์ในฐานะตัวแทนของประชาชนของพระองค์

คำถาม

1 คำว่า เชื้อสายหมายถึงอะไร
2 คำว่าการเกิดปกติหมายถึงอะไร
3 ทั้งคนที่เป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียนต้องเผชิญสิ่งใดเหมือนกัน
4 อะไรคือความจริงข้อแรกที่เราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
5 ภาพประกอบ แสดงคำอธิบายถึงเรื่องนี้อย่างไร ให้ หาข้อพระคัมภีร์มาสนับสนุนด้วย
6 มนุษย์ทุกคนเกิดมาในการเกิดอย่างปกติหรือไม่ให้อธิบาย
7 อะไรคือความจริงที่ 2 ประการเราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการล้มลงในบาป
8 คนบาปชอบบ่นว่าอะไร
9 ความคิดใดที่เป็นความคิดที่ผิดผิดที่อยู่เบื้องหลังคำบ่นนั้น และให้บ่งชี้ถึงความคิดที่ถูกต้องที่ควรจะอยู่เบื้องหลังมากกว่า
10 พวกนิยมการทรงสร้างสอนว่าอย่างไร แล้วอีกพวกหนึ่งสอนว่าอย่างไร
11 ในระหว่าง 2 แนวคิดนี้อันไหนน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ทำไมถึงตอบเช่นนั้น ช่วยให้เหตุผลด้วย
12 ในพระธรรมโรมบทที่ 5 ข้อที่ 12-21 ช่วยเราให้เห็นถึงการอวยพรในหลักการของเรื่องตัวแทนอย่างไร




บทที่ 13

คำถามที่ 18 สภาพบาปที่มนุษย์ตกเข้าไปนั้นมีลักษณะอย่างไร

คำตอบ สภาพบาปที่มนุษย์ตกเข้าไปนั้นประกอบด้วยความบาปครั้งแรกของอาดัม การขาดความชอบธรรมเดิม และความเสื่อมเสียธรรมชาติเดิมของมนุษย์ ซึ่งเรียกกันว่าปฐมบาป พร้อมทั้งการละเมิดอันเกิดจากบาปเดิมนั้นด้วย

ใส่ข้อพระคัมภีร์ด้วย 4 ชุด

ในบทเรียนที่ผ่านมาเราได้อภิปรายกันถึงความบาปดั้งเดิมจากจุดยืนที่เชื่อว่าความบาปนี้ถ่ายทอดจากอาดัมมายังคงพันธุ์ของเขาได้อย่างไร ในบทเรียนนี้เราก็จะไปเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของความบาปดั้งเดิมในมนุษย์ที่เป็นคนบาปทั้งหลาย ทั้งนี้ เราจะไม่อธิบายกันถึงเรื่อง ของมลทินของอาดัม ที่มีในการกระทำบาปครั้งแรก เพราะว่าเรื่องนี้ได้คุยกันไปแล้วในบทเรียนที่แล้ว และเราก็จะไม่พิจารณากันถึงเรื่องของความต้องการหรือมาตรฐานดั้งเดิมของความชอบธรรม แล้วเราจะโฟกัสเข้าไปในเรื่องของการเสื่อมทรามของธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหมด

เรามักจะพูดเกี่ยวกับเรื่องความเสื่อมทรามของธรรมชาติทั้งหมดของมนุษย์ในลักษณะที่ว่า มนุษย์นั้นได้เสื่อมทรามลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และเพื่อจะอธิบายถึงสิ่งนี้ ขอให้เราได้มาพิจารณา สิ่งต่อไปนี้ซึ่งเราสามารถที่จะค้นพบได้จากพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6:5 (ซึ่งอยู่ข้างบนของบทเรียนด้วย) (1) อย่างแรกก็คือ การเสื่อมทรามลงอย่างสิ้นเชิงของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องภายในซึ่งฝังอยู่ในส่วนลึกของธรรมชาติของมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงมองเห็นส่วนนี้แม้ว่ามนุษย์คนอื่นมองไม่เห็นก็ตาม (2) อย่างที่สองก็คือ ความชั่วร้ายนั้นมีมากมายเหลือเกินในมุมมองของพระเจ้า ซึ่งบัดนี้มนุษย์อาจจะพูดว่าพวกเขาก็ไม่ได้ชั่วร้ายอะไรนักหนา แต่ว่าพระเจ้าบอกว่าความชั่วร้ายของพวกเขานั้นมากเหลือเกิน (3) เราสังเกตว่าความชั่วร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ ต่อเนื่อง ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่บางเวลาเท่านั้นแต่เกิดขึ้นตลอดเวลาเลยทีเดียวที่หัวใจของมนุษย์นั้นชั่วร้าย (4) และท้ายที่สุดเราเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครเลย ที่ไม่มีความชั่วร้ายโดยธรรมชาติ ไม่มีส่วนไหนเลยที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์นั้นที่ไม่ชั่ว ด้วยเหตุนี้นี้เราจะพูดได้ว่ามนุษย์นั้นเสื่อมทรามลงอย่างสิ้นเชิง และ ส่งผลออกมาในทุกสิ่งที่เขาทำ

แต่อย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราจะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เรียกว่าอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของการเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิงนั้นหมายความว่าอะไร สำหรับคำตอบของคำถามนี้มี 2 ทางที่เราจะสามารถคิดได้ถึงเรื่องของการเสื่อมทรามลงอย่างสิ้นเชิง ก็คือ เรื่องขอบเขตของการเสื่อมทราม และเรื่องระดับของการเสื่อมทราม ซึ่งเราจะเห็นความแตกต่างของเรื่องนี้ได้จากภาพประกอบ

ทั้งนี้ เราเห็นว่าแก้วแรกเป็นน้ำบริสุทธิ์ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับความบริสุทธิ์ดั้งเดิมของอาดัม และแก้วกลางนั้นเราก็หยดยาพิษที่มีพิษถึงตายลงไปซึ่งได้ผสมกับน้ำแล้วก็แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งแก้ว ดังนั้น น้ำทั้งแก้วจึงแปดเปื้อนไปด้วย มันแปดเปื้อนเพราะว่ายาพิษนี้นำความเสื่อมเสียมาในทุกๆส่วนของน้ำ แม้เวลาจะผ่านไปก็เพียงแต่ ทำให้เชื้อโรคที่มีฤทธิ์ถึงตายนั้นมีการทวีคูณแล้วก็เพิ่มจำนวนขึ้น และนี่แหละก็เป็นธรรมชาติที่ร่วงหล่นลงมาของมนุษย์นั่นเอง แต่ตอนนี้ให้เราคิดถึงแก้วน้ำที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลยยกเว้น ยาพิษที่ทำมาจากเชื้อโรคร้าย ซึ่งนั่นก็เปรียบได้เหมือนความชั่วของซาตานเพราะว่าในตัวของซาตานนั้นไม่มีดีใดๆเลยหลงเหลืออยู่ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าความชั่วนั้นขึ้นไปถึงระดับสูงสุด และเมื่อคนชั่วนั้นถูกโยนลงไปในนรกก็จะเป็นเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามตราบใดที่เขาอยู่ในโลกนี้เขาก็จะพบว่าความชั่วไม่สามารถที่จะอยู่ในเขาอย่างสมบูรณ์ได้เหมือนดั่งกับที่อยู่ในซาตาน ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงเรื่องความเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิงเราจึงหมายถึงความเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิงในลักษณะของขอบเขต ไม่ใช่ความเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิงในลักษณะของระดับ

เหตุผลที่ทำไมมนุษย์นั้นไม่ได้มีความชั่ว ในระดับสูงสุดเทียบเท่าซาตานก็เป็นเพราะยังมีเรื่องของพระเมตตาของพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้เราลองจินตนาการว่าโลกที่จะเป็นสถานที่ที่เลวร้ายมากมายแค่ไหนถ้าคนเรานั้นมีความชั่วไปถึงระดับสูงสุด คนทั้งหมดก็คงจะฆ่ากันและกันอย่างไม่จบสิ้นมากมาย รวมทั้งเรื่องของการขโมยและเรื่องของท่าทีที่มีแต่ความชั่วตลอดเวลาด้วย โลกทั้งใบก็จะเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรง และชีวิตใครเล่าที่จะดำรงอยู่ได้ในโลกแบบนี้ และลองคิดดูต่อไปสิ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ เหนี่ยวรั้งให้การกระทำของบาปช้าลง โลกนี้จะเป็นอย่างไร แล้วพระเจ้าทำการเหนี่ยวรั้งให้ความบาปทำงานช้าลงได้อย่างไร ให้เรามาดูกัน (1) อย่างแรกก็คือ พระเจ้านั้นให้คนชั่วยังพอมีมโนสำนึกเหลืออยู่ มโนสำนึกนี้ไม่ได้ทำให้คนชั่วกลายเป็นคนดี แต่มันช่วยที่จะยับยั้งการงานของบาปได้อยู่บ้าง (โรม 2:15) (2) และพระธรรมโรมก็ยัง ได้กล่าวถึงอีกสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าได้ใส่เอาไว้ในโลก เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้คนชั่วได้ทำสิ่งชั่วโดยการอนุญาตของรัฐบาล ซึ่งนั่นก็คือมีการกำหนดกฎหมายเอาไว้ควบคุมคนชั่วร้ายเหล่านั้น (โรม 13:1-5) (3) อีกอย่างหนึ่งที่จะช่วย เหนี่ยวรั้งคนจากการทำอาชญากรรมต่างๆก็คือการกลัวความตาย (ฮีบรู 2:15) (4) และยังมีอิทธิพลของครอบครัว การศึกษา และสังคม ซึ่งช่วยให้การทำงานของบาปนั้นทำไม่ได้อย่างเต็มที่ในหัวใจและชีวิตของมนุษย์ และสิ่งนี้แหละที่เรายังเรียกว่าเป็นส่วนที่ดีอยู่บ้างในชีวิตของคนชั่ว และจากมุมมองของมนุษย์ก็เห็นได้ว่าคนชั่วก็ยังคงทำในสิ่งที่ พอใช้ได้อยู่ แต่เราต้องอย่าลืมว่าไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งดีจริงๆในพวกเขา

สิ่งนี้นำเราให้ไปเพ่งความสนใจของเรา ไปยังมุมที่สำคัญที่สุดของความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิงของมนุษย์ ซึ่งนั่นก็คือการที่มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรที่พระเจ้าพิจารณาแล้วว่าดีหรือบริสุทธิ์หรือชอบธรรม โดย ปราศจากการทำให้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า เค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนชั่วตั้งแต่เด็กมา (ปฐมกาล 8:21) คนอธรรมหลงเจิ่นไปตั้งแต่จากครรภ์เขาทำผิดมาตั้งแต่เกิด สดุดี 58ซ3 และแม้ว่าบาปนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการเหนี่ยวรั้งเอาไว้อย่างมากแล้วอย่างที่เราได้ศึกษากันไป แต่ว่าความปรารถนาภายในมนุษย์ในทุกขอบเขตของหัวใจนั้น ก็เป็นไปตามสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า ความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ปฐมกาล 6:5 ด้วยเหตุนี้อัครทูตจึงได้พูดว่า เขาทุกคนหลงผิดไปหมดเขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น โรม 3:12 ดังนั้นจึงไม่มีใครเลย ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ที่จะทำอะไรให้เป็นที่โปรดปรานพระเจ้าได้ ซึ่งพระคัมภีร์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรที่จิตใจ (1 ซามูเอล 16:7) เพราะทั้งนี้ คนหลายคนนั้นอาจจะดูดีในสายตาของมนุษย์แต่ก็อาจจะไม่เป็นไปเช่นนั้น เมื่อเขาอยู่ในการประเมินของพระเจ้า ซึ่งนั่นก็เหมือนกับเรื่องของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีในสมัยดั้งเดิมที่พระเยซูบอกกับพวกเขาว่า เจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามแต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสารพัดโสโครก....... ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรมแต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม มัทธิว 23:25, 28 ดังนั้นความจริงก็คือการที่พระคัมภีร์ได้พูดว่าคนบาปทั้งหลายนั้นไม่สามารถที่จะกลับใจ และหันกลับมาสู่พระเจ้าได้

เราสามารถสรุปได้ด้วยการพูดว่า ตราบใดที่มนุษย์นั้นยังคงถูกทิ้งให้อยู่ในธรรมชาติของเขา เขาก็จะยิ่งทำชั่วมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพราะว่า เขามีสภาพที่จะชอบทำอย่างนั้นมากกว่าการทำดี ให้เราลองคิดดูอีกครั้งว่ามนุษยชาติทั้งหมด ยกเว้นโนอาห์กับครอบครัวของเขาที่ได้รับการช่วยกู้โดยพระคุณของพระเจ้า มนุษยชาติทั้งหมดนั้นได้ ทำให้ความชั่วร้ายทวีขึ้นจนเต็มโลกก่อนที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ และอย่างไรก็ตาม แม้แต่คำพิพากษานี้ของพระเจ้าในรุนแรงถึงขั้นน้ำท่วมโลกก็ไม่ได้รักษาแนวโน้มแห่งความชั่วของมนุษย์เลย เพราะเราก็ได้อ่านในพระคัมภีร์ว่าหลังจากน้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นคนชั่วก็ยังพยายามที่จะสร้างหอบาเบล หลังจากนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเรียกอับราฮัมและสร้างชนชาติที่ชื่อว่าอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองแก่ชนชาตินั้น และแม้แต่ชนชาติอิสราเอลก็ตามก็หลงจนออกจากพระเจ้าอยู่บ่อยๆ เหมือนอย่างที่เราจะอ่านใน สุภาษิต1:24 ว่า เพราะเราได้เรียกเจ้าแล้ว และเจ้าปฏิเสธ เรากวักมือแล้วไม่มีใครสนใจ ซึ่งนี้ก็เป็นเรื่องจริง ในนิสัยของมนุษย์มิใช่หรือ และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้พระคัมภีร์ทั้งเล่มนำเราไปสู่ข้อสรุปเดียวที่ว่า มนุษย์นั้นเสื่อมทรามลงในทุกๆส่วนและไม่สามารถที่ทำอะไรดีได้อย่างสิ้นเชิง

1 ให้หาวลีในบทเรียนพระคัมภีร์ในการถามตอบซึ่งมีความหมายเหมือนกับคำว่าเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง
2 ข้อเท็จจริงอะไรที่เกี่ยวกับความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิงของมนุษย์นั้นได้รับการบอกเอาไว้ในปฐมกาลบทที่ 6 ข้อ 5
3 คำว่าสิ้นเชิงในวลีเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิงนั้นหมายความว่าอะไร
4 ขอบเขตของการเสื่อมทรามหมายถึงอะไร
5 ระดับของการเสื่อมทรามนั้นหมายถึงอะไร
6 แล้ว ความเสื่อมทรามแบบขอบเขต หรือความเสื่อมทรามแบบระดับ แบบใดสามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ มนุษย์ ชั่วร้ายที่อยู่ในโลกนี้ แล้วแบบไหนที่เปรียบเทียบได้กับซาตาน
7 ทำไมคนชั่ว จึงยังไม่ชั่วแบบเต็มระดับ
8 คนชั่วยังทำสิ่งดีไหมช่วยอธิบาย
9 ¡°ไม่สามารถทำได้อย่างสิ้นเชิง¡± หมายความว่าอย่างไร
10 ทำไมบางคนถึงไม่เชื่อในเรื่องนี้
11 คนที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้มีอะไร 2 อย่างที่เขายังสับสนอยู่ แต่ที่จริงแล้วแต่ละอย่างที่เขายังสับสนหมายความว่าอะไร
12 พระเจ้าทำชั่วได้หรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
13 ถ้ามนุษย์มีอิสระที่จะทำดี แล้วมนุษย์สามารถที่จะทำดีได้ไหม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
14 ให้พิสูจน์จากประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ว่าคนที่ไม่เชื่อนั้นมีแนวโน้มจะทำชั่วมากยิ่งขึ้นและมากยิ่งขึ้น




บทที่ 14

คำถามที่ 19 ความทุกข์ของสภาพที่มนุษย์ตกเข้าไปเป็นอย่างไร

มนุษย์ที่ตกเข้าไปนั้นขาดการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า มีแต่จะได้รับพระพิโรธและการสาปแช่ง และจะต้องได้รับความทุกข์ยากแห่งชีวิตนี้ จนประสบความตาย และรับทุกข์ทรมานในนรกตลอดไปเป็นนิตย์

ใส่ข้อพระคัมภีร์ 5 ชุด

มวลมนุษยชาติได้หลงเจิ่นไป และสรรพสิ่งก็ได้เป็นพยานในเรื่องนี้ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า เรารู้ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้ (โรม 8: 22) คนที่ไม่เชื่อนั้นเกลียดที่จะยอมรับเรื่องนี้ สาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงพยายาม ที่จะหาคำอธิบายสิ่งต่างๆเช่นอธิบายด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งก็จะทำให้พวกเขามีข้อแก้ตัวที่จะไม่ตกอยู่ใต้พระพิโรธและคำสาบของพระองค์ พวกเขาพยายามที่จะทำให้ตัวเองมั่นใจว่า โลกนี้ตอนนี้เป็นสถานที่ที่มีความสุข มั่นใจว่าวันหนึ่งมนุษย์จะเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ เอาชนะความความตาย รวมทั้งเอาชนะสงครามได้ด้วย แต่นั่นก็เพียงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมืดครึ้ม และความว่างเปล่าซึ่งจินตนาการแห่งหัวใจที่บาปของเขาสามารถที่จะทำได้ ทั้งนี้พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธจากสวรรค์ต่อบรรดาความอธรรมและความชั่วร้ายทั้งปวงของมนุษย์ ผู้ใช้ความชั่วร้ายของตนปิดกั้นความจริง (โรม 1:18) ซึ่งนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าได้เปิดเผยด้วยการเขียนในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์ต้องหลอกลวงตัวเองเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความจริง เพราะความจริงก็คือว่าความทุกข์ ของมนุษย์นั้นเป็นหลักฐานยืนยันในตัวเอง

ดั่งที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้ชี้ประเด็นให้เราเห็นว่า ความทุกข์ของมนุษย์นั้นประกอบไปด้วย (1) อย่างแรกก็คือเขาได้สูญเสียความสนิทสนมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และอยู่ในพระพิโรธและคำสาปแช่งของพระองค์ ทั้งนี้ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อเตรียมที่จะบรรจุนิรันดร์กาลเอาไว้ในมนุษย์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ พระธรรมปัญญาจารย์ 3:11 บอกว่า พระองค์ทรงตั้งนิรันดร์กาลเอาไว้ในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ในพระคัมภีร์นั้นเป็นหนังสือที่อุทิศให้กับเรื่องราวของความว่างเปล่าของ การดำรงอยู่ของมนุษย์ซึ่งแยกออกมาจากพระเจ้า โดยพระธรรมปัญญาจารย์ได้กล่าวเรื่องนี้เอาไว้ว่า อนิจจัง อนิจจัง อนิจจังแท้ๆ ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง (ปัญญาจารย์ 1: 2) หรือเราจะพูด อย่างนี้ในวันนี้ก็ได้ว่า ว่างเปล่า ว่างเปล่า ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นสิ่งว่างเปล่า หรือจะพูดอย่างนี้ก็ได้ว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ทั้งหมดมันไม่มีอะไรเลย ด้วยเหตุนี้ในชีวิตของคนผู้ซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องความรอดของพระคริสต์ ก็มีแต่เพียงความว่างเปล่าภายใต้ดวงอาทิตย์ซึ่งเติมเต็มเข้าไปในหัวใจของเขาเท่านั้นเอง เพราะทั้งนี้ความบันเทิงต่างๆไม่สามารถที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าได้ รวมทั้งๆชื่อเสียงหรือโชคชะตาราศีใดๆก็เติมเต็มไม่ได้ด้วย นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า เสียงหัวเราะของคนโง่ก็เหมือนเสียงแตกปะทุของน้ำในภายใต้หม้อ นี่ก็อนิจจัง (ปัญญาจารย์ 7:6) ซึ่งนั่นหมายความว่า ความสนุกและเสียงหัวเราะมันเป็นสิ่งที่เกิดเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวและจบไปอย่างรวดเร็ว เหมือนอย่างไฟที่ปะทุเพียงชั่วยามแล้วไม่หลงเหลืออะไรเลยนอกจากเถ้าถ่าน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสาเหตุที่ทำไม คนที่มั่งคั่ง คนที่มีชื่อเสียง คนที่มีความน่าดึงดูดใจเช่นพวกดาราต่างๆ มักจะต้องไปพบกับจิตแพทย์ หรือกลายเป็นคนที่ติดสุราอย่างหนัก หรือแม้แต่บางคนก็ต้องฆ่าตัวตาย เพราะว่ายิ่งผู้คนแสวงหาที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจด้วยสิ่งอื่นๆมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นหลักฐานทำให้เห็นว่าเขายิ่งพบกับความไม่พึงพอใจ เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่จะต้องเติมเต็มเข้าไปในช่องว่างนั้นคือพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

อีกอย่างหนึ่งก็คือ (2) เราสังเกตได้ว่ามีทุกข์ในชีวิตไปพร้อมๆกับความว่างเปล่า และความสิ้นหวังนี้ด้วย ซึ่งความทุกข์นี้ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกหนีไปได้ เหมือนดังเช่นเพื่อนของโยบได้กล่าวว่า แต่คนเราเกิดมาเพื่อความทุกข์ยากเหมือนประกายไฟย่อมพุ่งขึ้นฟ้า โยบ 5:7 ซึ่งเราจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าทั้งโรคร้ายการกันดารอาหาร สงคราม ภัยพิบัติต่างๆก็ยังอยู่ล้อมรอบตัวเรา ดังนั้นตามมุมมองของพระคัมภีร์แล้ว ชีวิตของมนุษย์ ก็ได้รับการบรรยายเฉกเช่นเดียวกับเงา ความฝัน หรือ ชั่วแค่ยามเดียวในเวลากลางคืน หรืออาจจะบอกว่าเหมือนกับ ดอกไม้หรือเหมือนกับหญ้า ซึ่งบางครั้งก็ร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่ทันได้โตเต็มที่เลยซะด้วยซ้ำ แล้วทุกคนก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนก็เป็นโรคร้ายถึงกับตาย บางคนก็เสียชีวิตไปในภัยสงคราม และแม้แต่ผู้ที่มีความประพฤติไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเช่นโยบ ก็ยังอยู่ในความทุกข์ได้ ขณะที่คนชั่วนั้นดูเหมือนว่าไม่ได้มีความทุกข์ใจอะไรเลย (สดุดี 73:5) แล้วเราก็ไม่สามารถที่จะอธิบายความแตกต่างเหล่านี้มากกว่าที่เราจะพูดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ฉลาด และแผนการแห่งอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงอวยพรคนชั่วอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว เพื่อที่จะทำให้ วันสุดท้ายของเขาน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น แล้วพระองค์ทรงนำการทดสอบมายังคนชอบธรรม เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเช่นกันเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นร่วมกันก่อผลดีในบั้นปลาย แต่ประเด็นสำคัญก็คือการที่ความทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเผชิญและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกหนีได้ ดังนั้นจึงมีความเจ็บปวดสำหรับร่างกาย ความขมขื่นสำหรับจิตใจซึ่งทุกคนต้องเจอ

อย่างที่สาม (3) มีสิ่งที่เรียกว่าการครอบครองโดยทั่วของความตาย เรื่องนี้นั้นก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเข้าส่วน ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ได้บอกว่า มนุษย์ได้ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว (ฮีบรู 9:17) ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงว่า เกียรติสิริแห่งชีวิตคริสเตียน ก็คือ พันธสัญญาแห่งชัยชนะเหนือความตาย แต่สำหรับปัจจุบันนี้ ความตายเป็นศัตรูที่ต้องถูกทำลาย (1 โครินธ์ 15:26) ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่า พระเยซูเจ้าเองเมื่อพระองค์ทรงมามองที่หลุมฝังศพของลาซารัสพระองค์ก็ทรงร้องไห้ และทรงเป็นทุกข์และสะเทือนพระทัยยิ่งนัก ยอห์น 11:34-35 ซึ่งเหมือนจะไม่เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้กับ สิ่งที่นักคิดหัวสมัยใหม่ ชอบพูดถึงเรื่องของความตายว่าเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งนั่นไม่ใช่เลย เพราะว่าความตายนั้นมีสาเหตุมาจากบาปและเป็นส่วนหนึ่งของความโศกเศร้าของมนุษย์ (4) และสุดท้ายเราได้เห็นว่ามีสิ่งที่เรียกว่าการลงโทษชั่วนิรันดร์สำหรับผู้ที่หลงหาย ซึ่งเรื่องนี้เราจะมาเรียนกันอีกครั้งหนึ่งในคำถามที่ 28 และคำถามที่ 84 แต่ตอนนี้ เราจะมาดูกันสักเล็กน้อย ซึ่งจะเจาะเข้าไปเน้นย้ำถึงความจริงที่พระเยซูเจ้าของเราได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นก็คือการที่พระองค์ได้ทรงเตือนเราถึงเรื่องนี้มากกว่าผู้เผยพระวจนะอัครทูตควรได้พูดเอาไว้ในพระคัมภีร์เสียอีก พระองค์ทรงพูดถึงเรื่องราวของไฟที่ไม่มีวันดับ ใน (มัทธิว 3: 12) และหนอนซึ่ง ไม่มีวันตาย และไฟที่ไม่มีวันดับ (มาระโก 9:48) และการถูกทรมานด้วยไฟกำมะถัน (วิวรณ์ 14: 10) และความมืดภายนอกซึ่งมีแต่เสียงร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน (มัทธิว 8: 12) ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ใช้ถ้อยคำเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อที่จะบรรยายถึงการลงโทษชั่วนิจนิรันดร์สำหรับผู้ที่หลงหาย และสำหรับผู้ที่ได้รับความรอดนั้นก็จะมีการอวยพรอย่างนิรันดร์ด้วย ให้ดูในมัทธิว 25:46

ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่เดียวที่เราจะต้องเข้าใจว่า มวลมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกนำมาสู่ความไม่เชื่อฟังของอาดัม แต่ก็ยังสำคัญมากด้วยที่จะเข้าใจว่าผู้ซึ่งเป็นขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นมี สถานภาพที่แตกต่าง กับผู้ที่ไม่เชื่อ (1) อย่างแรกเลยให้เราพิจารณา ความแตกต่างในชีวิตปัจจุบัน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าผู้เชื่อนั้นได้ชื่นชมยินดีกับความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ผู้เชื่อสามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าสามารถเข้ามาสู่ผู้เชื่อผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการถวายบูชาของพระเยซูคริสต์พระพิโรธและคำสาปแช่งของพระเจ้าก็ถูกนำเอาไปจากผู้ที่เชื่อ พวกเขาจึงไม่มีความกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษเขา เนื่องจากว่าพระคริสต์ได้ทรงถูกลงโทษสำหรับพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องหวั่นเกรงความตาย แล้วไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงการลงโทษชั่วนิจนิรันดร์ ซึ่งตอนนี้เราก็จะสังเกตเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่กล่าวไป ที่จะทำให้ผู้ที่เชื่อนั้นอยู่ในสภาพที่เศร้าโศก แต่อย่างไรก็ตามผู้เชื่อนั้นไม่ได้มี ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เพราะเขายังเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ และบางครั้งก็ทำบาปและยังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากต่างๆในโลก ทั้งๆที่ในพระคัมภีร์บอกว่า มนุษย์เป็นใครหนอพระองค์จึงทรงพะวงถึง บุตรมนุษย์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงห่วงใยดูแล (ฮบ 2: 6) เพราะเราจะเห็นได้ว่าในชีวิตของผู้เชื่ออาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บ ความเศร้า และอื่นๆเกิดขึ้นได้ แต่ความแตกต่างก็คือการที่จะไม่มีการสำแดงพระพิโรธหรือคำสาปของพระเจ้า แต่อาจจะมีการที่สอนเพื่อลงวินัย ผ่านสิ่งต่างๆเหล่านั้น

(2) และเรื่องของความตายก็เป็นสิ่งที่แตกต่างระหว่างผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ เพราะว่าเมื่อชีวิตของผู้เชื่อนั้นได้รับการปกคลุมด้วยการอวยพรอย่างเต็มที่เนื่องด้วยเขาได้ถูกนำเข้ามาสู่พระคริสต์ในช่วงชีวิตของเขา จิตวิญญาณของเขาก็ ถูกนำไปจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว แล้วเขาก็จะรู้ว่าความตายไม่ได้แปลกอะไรสำหรับเขาเลย เพราะว่าจิตวิญญาณของเขาได้ผ่านจุดที่อำนาจแห่งความตายมีพลังเหนือเขาไปแล้ว เขาได้ค้นพบว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถแยกเขาไปจากพระคริสต์ มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ตายไป และร่างกายก็ตายไปแค่เพียงไม่นานด้วย เพราะว่าในวันสุดท้ายร่างกายก็จะถูกชุบให้ฟื้นขึ้นมาจากหลุมศพ ในขณะที่ในกรณีของผู้ไม่เชื่อ ทั้งกายและทั้งวิญญาณของเขาก็จะได้รับประสบการณ์ของความตายแห่งการแยกจากพระเจ้า และมีความทุกข์ทรมานอย่างไม่สามารถที่จะบรรยายได้ เพราะทั้งนี้ จิตวิญญาณของผู้ที่ไม่เชื่อก็ตายไปแล้ว (เอเฟซัส 2:1) จิตวิญญาณนั้นยังไม่ผ่านความตายไปสู่ชีวิต ดังนั้นพระพิโรธของพระเจ้า จึงยังคงอยู่เหนือชีวิตพวกเขา และจะสำแดงในสัดส่วนที่มากขึ้น

3 แต่อย่างไรก็ตามจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายซึ่งมนุษย์ได้ฟื้นขึ้นจากตาย เราจะเห็นว่าผู้เชื่อนั้นได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทั้งหมด และถูกนำมาสู่ความสุขอย่างสมบูรณ์ แล้วจะเป็นในเวลานั้นเท่านั้นที่เราจะเห็นผู้ที่ไม่เชื่อ ได้รับความทุกข์แบบสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งความเศร้าโศกนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่รู้จบด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระเยซูได้กล่าวว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายแล้วหลังจากนั้นก็ทำอะไรไม่ได้อีก แต่เราจะบอกให้ว่าท่านควรกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวพระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์อำนาจจะโยนท่านลงนรกหลังจากที่ได้ฆ่ากายของท่านแล้ว ใช่เราบอกท่านว่าจงเกรงกลัวพระองค์ (ลูกา 12:4- 5) นอกจากนี้ในพระธรรมมัทธิวเองก็ยังบันทึก เรื่องเดียวกันนี้เอาไว้ว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงเกรงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรก มัทธิวบทที่ 10 ข้อที่ 28

คำถาม

1 อะไรคือความจริงยิ่งใหญ่ ที่ ผู้ไม่เชื่อ ไม่อยากจะยอมรับ
2 พวกเขาพยายามทำอะไร เนื่องด้วย การไม่อยากจะยอมรับสิ่งดังกล่าว
3 ความทุกข์ของมนุษย์มี 4 ส่วนอะไรบ้าง
4 เราเห็นได้อย่างไรว่ามนุษย์สูญเสียความสนิทสนมเป็นหนึ่งเดีวกับพระเจ้า
5 เราจะเห็นได้อย่างไรว่ามนุษย์นั้นอยู่ใต้พระพิโรธและคำสาปแช่งของพระเจ้า
6 อะไรคือความโศกเศร้าบางอย่างในชีวิตนี้
7 พระธรรมเล่มใดในพระคัมภีร์ ที่บอกว่ามนุษย์นั้น อยู่ในสภาพที่สูญเสียความเป็นหนึ่งกับพระเจ้า
8 พระธรรมเรื่องนี้กล่าวถึงเรื่องอนิจจังเอาไว้อย่างไร
9 แล้วมนุษย์พยายามเติมเต็ม ความอนิจจังหรือความว่างเปล่านี้ด้วยอะไร
10 มนุษย์ทุกคนได้รับความโศกเศร้าอย่างเดียวกันหรือไม่ ให้อธิบาย
11 เรื่องราวใดที่ทำให้เราเขียนภาพตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของความโศกเศร้าของมนุษย์
12 ทั้งผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ ต้องพบกับความเศร้าโศกหรือไม่
13 อะไรคือความแตกต่างระหว่างประสบการณ์ของผู้ซื้อและผู้ไม่เชื่อในชีวิตนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับความตาย แล้วก็ในโลกใหม่ที่จะมาถึง
14 เราจะรู้ได้อย่างไรว่านรกมีจริง
15 ถ้าคนทุกคนต้องตาย แล้วพระคัมภีร์หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าผู้เชื่อนั้นได้ผ่านความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
16 แม้ว่าผู้เชื่อที่แท้จริงอาจต้องเผชิญกับความโศกเศร้า แต่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่ดีสำหรับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ อธิบาย



บทที่ 15

คำถามที่ 20 พระเจ้าได้ปล่อยให้มนุษยชาติทั้งหมดอยู่ในสภาพบาปและความทุกข์หรือ

คำตอบ พระเจ้า ได้ทรงเลือกบางคนให้เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งหมายถึงการเข้าสู่พันธสัญญาแห่งพระคุณและ ปลดปล่อยพวกเขาจากสถานภาพแห่งความบาปและความโศกเศร้า และนำพวกเขาเข้าไปสู่อิสรภาพแห่งความรอดโดย พระผู้ไถ่

ใส่ข้อพระคัมภีร์ด้วย 2 ชุด

เราได้ศึกษากันไปแล้วเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ในเรื่องสภาพแห่งความไร้เดียงสาซึ่งพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา หลังจากนั้นเราก็มาเรียนรู้เรื่องสถานภาพแห่งความบาปและความโศกเศร้าซึ่งมนุษย์ได้ตกลงไป และด้วยคำถามนี้ของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ เราเริ่มต้นที่จะเห็นพระเมตตาของพระเจ้าซึ่งไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งมีต่อคนบาป แล้วตอนนี้เราก็ยังจะเห็นว่าพระเจ้าได้นำพวกเขาออกมาจากสถานภาพแห่งความบาปและความทุกข์มายังสถานภาพแห่งความรอดได้อย่างไร

เป็นเพราะพระเมตตาของพระองค์หรือที่เรียกว่าพระคุณของพระองค์เท่านั้น ที่ทำให้มีหนทางที่จะหลบเลี่ยงจากความบาป และยังเป็นเพราะอำนาจของพระเจ้าอย่างเดียวที่มนุษย์ผู้ซึ่งเป็นคนบาปนั้นสามารถที่จะหลบหนีออกจากสถานภาพแห่งความบาปและความทุกข์ได้ ดังนั้นเรามาถึงจุดที่คริสเตียนปฏิรูปได้เรียกกันว่า หลักคำสอนเรื่อง ¡°การทรงเลือกของพระเจ้าโดยไม่มีเงื่อนไข¡± ซึ่งหลักคำสอนนี้ สอนถึง (1) พระเจ้าได้ทรงเลือก คนจำนวนหนึ่งมาสู่ความรอด (2) พระเจ้าไม่ได้เลือกคนนั้นเพราะว่ามีอะไรดีในตัวเขา การทรงเลือกของพระเจ้านั้นไม่มีเงื่อนไข เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรในคนที่พระองค์ทรงเลือก รวมทั้งไม่มีเงื่อนไขอะไรในคนที่พระองค์ไม่ได้เลือกด้วย (3) พระเจ้าได้ทรงเลือกผู้คนเหล่านั้นที่จะได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับความรอดโดยปราศจากการถูกนำเข้ามาสู่พระเยซูคริสต์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แล้วหลังจากเข้ามาสู่พระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ประกาศให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม และรับเขาเข้าเป็นบุตร รวมทั้งมีกระบวนการอื่นๆต่อมาอีก (4) การทรงเลือกที่ไม่มีเงื่อนไขนั้น ได้รับการกำหนดไว้ตั้งแต่นิรันดร์กาล หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเสมอที่จะช่วยผู้คนเหล่านั้นให้รอด ก่อนที่เขาจะเกิดมาด้วยซ้ำ และก่อนที่โลกนี้จะถูกสร้างขึ้นมาเสียอีก

แม้ว่าจะเป็นการยากที่จะให้ภาพตัวอย่างของประเด็นต่างๆเหล่านี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามภาพประกอบในบทนี้ก็ช่วยให้เรามีความเข้าใจได้ดีขึ้น

จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่า ของเล่นทุกชิ้นนั้นเท่าเทียมกัน ไม่มีของเล่นชิ้นไหนที่ดีกว่าชิ้นอื่น ไม่มีสิ่งไหนที่สมควรที่จะได้รับการเลือกโดยเด็กคนนี้มากกว่าชิ้นอื่น แต่ทำไมเด็กคนนี้บอกว่าฉันจะเลือกชิ้นนี้ เหตุผลของสิ่งนี้ไม่ได้หาได้จากในตัวของเล่น เพราะว่าสภาพหรือเงื่อนไขของชิ้นหนึ่งก็เหมือนกับสภาพหรือเงื่อนไขของชิ้นอื่น เหตุผลของการเลือกชิ้นนี้แทนที่จะเลือกเช่นนั้น ก็จะต้องพบได้ในตัวเด็กน้อยคนนี้ซึ่งเป็นผู้เลือกเท่านั้น ภาพประกอบนี้ชี้ให้เห็นถึงการอธิบายเรื่องการเลือกที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเราจะต้องเข้าใจอย่างง่ายๆว่า เป็นเหตุผลของพระเจ้าเท่านั้นที่เลือกมนุษย์คนนั้นไม่เลือกมนุษย์คนนี้เพราะเหตุผลใด ซึ่งย้ำครั้งว่า เหตุผลในการทรงเลือกไม่ได้อยู่ในตัวพวกเขาแต่อยู่ในพระเจ้าเท่านั้น

ไม่มีหลักคำสอนที่อื่น ที่จะเป็นที่เกลียดชังของคนบาป มากเกินไปกว่านี้แล้ว และไม่มีคำสอนอื่นที่ได้รับการสอนอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์มากไปกว่าคำสอนนี้แล้ว เพราะว่ามีพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรของพระองค์ด้วยความรัก พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ (เอเฟซัส 4: 1-5) และคำว่ากำหนดไว้ล่วงหน้านั้นหมายความว่า เป็นการตัดสินใจเอาไว้ก่อนถึงจุดมุ่งหมายสุดท้ายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งพระคัมภีร์อีกตอนก็ยังบอกไว้ว่า เราทั้งหลายไม่ได้เลือกพระเยซูแต่พระเยซูเลือกเรา (ยอห์น 15:16) ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามถึงแม้จะมีความรู้ทางพระคัมภีร์น้อยแค่ไหนก็ต้องตระหนักถึงความจริงอันสำคัญข้อนี้ นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังได้กล่าวอีกว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า นานมาแล้วบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายรวมทั้งเทราห์บิดาของอับราฮัม และนาโฮร์ที่อาศัยอยู่ ฟากข้างโน้น ของแม่น้ำ ยูเฟรติส และนมัสการพระองค์อื่นๆ แต่เราได้พา อับราฮัมบิดาของเจ้า จากดินแดนนั้นข้ามแม่น้ำยูเฟรติสมายังดินแดนคานาอัน (โยชูวา 24: 2-3) พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกสรรท่านจากประชาชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลกให้เป็นประชากรของพระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6) และแม้แต่ในผู้คนในชนชาติอิสราเอลเองก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับความรอด แต่ทว่าคนที่ไม่ใช่อิสราเอลกลับได้รับความรอด ซึงก็เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกเอาไว้ว่า อิสราเอลไม่พบสิ่งที่พวกเขาแสวงหา แต่ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกเป็นได้พบ คนอื่นๆ และคนนอกนั้นเป็นคนที่มีใจแข็งกระด้างไป (โรม 11:7) และแม้แต่เปาโลพูดถึงตัวเองและคนอื่นพูดซึ่งเชื่อในพระเยซูคริสต์ในขณะที่คนยิวคนอื่นๆนั้นได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเปาโลได้กล่าวตรงส่วนนี้เอาไว้ว่า เช่นนั้นแหละในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนที่เหลืออยู่ผู้ซึ่งทรงเลือกสรรไว้โดยพระคุณ (โรม 11 : 5)

คำถามที่มักจะเกิดขึ้นในใจเมื่อเราคิดเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องการทรงเลือกอย่างไม่มีเงื่อนไขนี้ก็คือ ทำไมพระเจ้าทรงเลือกคนนี้แล้วไม่เลือกคนนั้น หรือประมาณว่าพระองค์ได้ทรงเลือกคนนั้นทั้งๆที่เขาเป็นคนบาป ซึ่งสิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นการยุติธรรมเลย แต่ความจริงก็คือมนุษย์ทั้งปวงสมควรที่จะได้รับความหายนะ แล้วถ้ามนุษย์ทั้งปวงสมควรที่จะได้รับความหายนะ สิ่งนี้ก็จะไม่ใช่สิ่งที่ไม่ยุติธรรม ถ้าพวกเขาได้รับสิ่งนั้นที่เขาสมควรจะได้รับอยู่แล้ว แต่พระเจ้าให้อีกคนนึงได้รับความเมตตาซึ่งเขาไม่สมควรจะได้รับ ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวในประเด็นนี้เอาไว้ว่า ¡°เงินของเราเราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเห็นเราใจกว้าง¡± (มัทธิว 20:15) ในบริบทนี้เป็นการที่ คนชั่วบางคนมาบ่นกับนาย เมื่อนายให้สิ่งดีแก่บางคนทั้งๆที่เขาไม่สมควรจะได้รับ อีกคำถามนึงที่ผุดขึ้นมาในเรื่องนี้ก็คือ หลักคำสอนเรื่องการทรงเลือกอย่างไม่มีเงื่อนไขอาจจะดูเหมือนทำให้ความรอดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งก็เหมือนกับที่บางคนพูดว่า ¡°ถ้าพระเจ้าทรงเลือกฉันเพื่อที่จะให้รอด ถ้าอย่างนั้นฉันก็รอดแน่นอนไม่ว่าฉันจะทำอะไร ¡± ซึ่งสิ่งนี้เป็นการตอบสนองโดยปกติของพวกคนบาป แต่ทว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดอย่างสิ้นเชิง พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่ามนุษย์จะรอดอย่างอัตโนมัติ และไม่ได้สอนด้วยว่ามนุษย์จะรอดได้เพราะการกระทำใดๆ พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าทรงเลือกเราไว้ในพระองค์ ซึ่งหมายถึงในพระคริสต์ พระเจ้าได้เลือกคนไว้สำหรับจุดมุ่งหมายที่เที่ยงแท้ และนอกจากนี้พระองค์ยังทรงเลือกเอาไว้เพื่อความสัมพันธ์อันเที่ยงแท้ซึ่งพระองค์จะนำไปสู่จุดสุดท้าย และนี่ก็เป็นดังที่เปาโลได้กล่าวว่า เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องมากมาย (โรม 8: 29) ในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ ที่เราจะเรียนในบทต่อๆไป เราจะได้ไปเรียนรู้เกี่ยวกับการทรงเลือกที่พระเจ้าทรงนำมาแบบขั้นต่อขั้น จนไปถึงจุดสุดท้ายที่พระเจ้าที่กำหนดไว้ให้แต่ละคน แต่ในบทเรียนนี้เราจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า การที่คนจะรอดไม่ว่าเขาจะทำตัวอย่างไรก็ตามเป็นแนวคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะถ้ามนุษย์ได้รับการเลือกแล้ว นั่นก็สำคัญทีเดียวที่เขาจะต้องตระหนักในสิ่งเขากระทำ เพราะเขาต้องกลับใจจากบาปของเขาและเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และได้รับความรอด ตามแผนการของพระองค์
และเหตุผลนี้ก็เป็นเหตุผลที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบพูดถึงการทรงเลือก ว่าเป็นเหมือนกับการได้รับความรอดในพันธสัญญาแห่งพระคุณ ในบทที่ 10 เราได้พิจารณาเรื่องของพันธสัญญาแห่งพระคุณ ดังนั้นตอนนี้เราก็เห็นชัดเจนว่าไม่มีใครเป็นผู้หลงหายไปอย่างอัตโนมัติ และไม่มีใครที่ถูกนำมาสู่สถานภาพแห่งความบาปและความทุกข์อย่างไม่มีเหตุผล แต่ถ้าว่าเราได้เห็นว่ามนุษย์ทั้งมวลผู้ซึ่งได้ถูกนำมาสู่สถานภาพแห่งบาปและความทุกข์ก็ได้ถูกนำมาที่สถานภาพนั้นเพราะว่า พวกเขาได้รับการถูกสร้างขึ้นในความเป็นหนึ่งเดียวกับอาดัม และเพราะว่าพวกเขามีบาปในอาดัมและล้มลงไปกับอาดัมในการล่วงละเมิดครั้งแรก ดังนั้นด้วยพันธสัญญาที่ 2 พระเจ้าได้ทรงเห็นอาดัมเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งมวลที่พระองค์ทรงติดต่อด้วยฉันใด ในการที่พระองค์ทรงกระทำพันธสัญญาแห่งชีวิต พระเยซูคริสต์ก็เป็นตัวแทนคนใหม่ของมวลมนุษยชาติในพันธสัญญาแห่งพระคุณ ให้เรามองสิ่งนี้แบบนี้ก็คือ (1) คู่สัญญาในพันธสัญญาแห่งพระคุณก็คือพระบิดาและพระบุตรซึ่งเป็นตัวแทนสองฝ่าย (2) เงื่อนไขของพันธสัญญานี้ก็คือการที่พระคริสต์ (ด้วยการทรงรับเอาธรรมชาติของมนุษย์) ได้ทรงเติมเต็มสิ่งที่ธรรมบัญญัติต้องการ เพื่อที่จะรับเอาพันธสัญญาแห่งชีวิต แล้วนำไปมอบให้ประชากรของพระองค์ (3) พันธสัญญาของพระบิดา มีเอาไว้เพื่อที่จะสถาปนาชีวิตนิรันดร์ให้กับคนเหล่านั้นที่มีพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ดังนั้นมีเพียงในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนบาปและนี่หมายความว่าไม่มีใครสามารถที่จะรับ ผลประโยชน์ใดๆเว้นเสียแต่ว่าเขากลับใจเชื่อ (ยกเว้นเด็กทารก หรือคนที่ฟั่นเฟือนที่ไร้สติสัมปชัญญะ)

อีกการตอบสนองหนึ่งที่ควรจะเป็นที่สังเกตก็คือ คนมักจะพูดว่า ถ้าฉันไม่ได้รับการเลือกแล้วไม่มีอะไรที่ฉันสามารถที่จะทำได้เลยหรือ ถ้าฉันอยากที่จะได้รับความรอดมากล่ะฉันจะทำอย่างไรได้ ความคิดอย่างนี้ เกิดขึ้นจากการที่คนต้องการที่จะรอดมากกว่าที่พระเจ้าต้องการจะให้เขารอด หรือประมาณว่าคนๆนั้นสามารถที่จะปรารถนาที่จะมายังพระคริสต์ด้วยตัวเองได้ แต่ว่าพระองค์ไม่อยากจะรับเขามาอย่างนั้นหรือ สิ่งนี้ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างจะมีเหตุมีผลสำหรับความคิดของมนุษย์ซึ่ง ได้รับการปกคลุมด้วยความมืดอยู่ ภายใน แต่เราสามารถที่จะแน่ใจจากคำสอนของพระคัมภีร์ว่าสิ่งต่างๆนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ จิตใจของมนุษย์ที่เป็นคนบาปคิด อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ได้สอนอย่างชัดเจนว่า (a) ไม่มีมนุษย์คนใดอยากจะได้รับความรอดตามวิถีทางที่พระเจ้าต้องการ ยกเว้นเสียแต่ว่าพระเจ้าได้ให้หัวใจใหม่แก่เขา (b) พระคัมภีร์ยังสอนอีกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนต้องการที่จะได้รับความรอดในทางของพระเจ้า แล้วเขาคนนั้น เมื่อมาหาพระเยซู แล้วจะได้รับการปฏิเสธ (c) พระคัมภีร์ยังสอนเราอีกว่า ผู้ที่ไม่ได้เข้ามาหา พระคริสต์ จะพูดไม่ได้ว่าเขาไม่อยากจะเข้ามาเพราะว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกเขา แต่เป็นเพราะว่าจิตใจของตัวเขาเองเป็นพยานว่าที่เขาไม่ได้มาเพราะความบาปทำให้เขาเลือกที่จะไม่มามากกว่า

คำสอนเกี่ยวกับการทรงเลือกที่ไม่มีเงื่อนไข และสิ่งที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เป็นเรื่องที่ลึกลับซึ่งเราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ทั้งหมดในทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่ควรจะตระหนักไว้ก็คือการที่เรื่องนี้นั้นเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ได้สอนว่า พระเจ้าได้เลือกบางคนและก็ไม่ได้เลือกบางคน พระองค์ทรงทำสิ่งนี้โดยไม่มีความลำเอียงใดๆ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าพระองค์ทำสิ่งนี้เพื่อที่จะได้มี 2 อย่างและ 2 เหตุผล อย่างแรกก็คือจะมีบางคนที่รับความรอด แล้วเมื่อคนกลุ่มนี้ไปยังสวรรค์ในที่สุดเขาก็จะพูดว่า ¡°ฉันเป็นหนี้พระเจ้าทั้งหมดฉันไม่สมควรเลยแต่พระเจ้าเลือกฉันและพระองค์เท่านั้นที่สมควรรับการสรรเสริญ¡± แต่ในอีกด้านหนึ่งพวกที่ไม่ได้รับความรอด เมื่อได้ไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขาแล้วพวกเขาก็จะบอกว่า ¡°นี่เป็นความผิดของฉันเอง ฉันสมควรได้รับสิ่งนี้ เพราะว่าว่าฉันเป็นคนบาปในอดัมและล้มลงไปกับอาดัมด้วย และฉันยังสมควรรับสิ่งนี้มากขึ้นไปอีกเพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากมาหาพระคริสต์โดยการกลับใจและโดยความเชื่อที่แท้จริง ฉันไม่ได้เลือกพระคริสต์ สำหรับฉันแล้วฉันสมควรที่จะได้รับการกล่าวโทษ¡± และเป็นเพียงเมื่อเราได้เห็นสองสิ่งนี้เท่านั้น เราก็จะรู้ว่าไม่มีที่สำหรับการอวดใดๆเลย และในด้านหนึ่งไม่มีที่ที่จะต้องให้โทษใครเลยนอกจากตัวเอง และเราก็สามารถที่จะเริ่มต้นที่จะเข้าใจความสำคัญและความอัศจรย์ของหลักข้อเชื่อนี้ ดังนั้นถ้าเราต้องการที่จะได้รับความรอดในทางของพระเจ้าเราก็จะต้องไม่กลัว และให้เราเพียรที่จะทำให้การทรงเรียกและการทรงเลือกของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน ดังที่เปโตรบอกว่า เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า จงค้นคว้าให้มากยิ่งขึ้นที่จะประพฤติตนในทาง ซึ่งแสดงว่าพระเจ้าทรงเรียกและทรงเลือกท่านอย่างแน่นอน เพราะถ้าท่านทำสิ่งเหล่านี้ท่านจะไม่มีวันล้มลง (2 เปโตร 1:10)

คำถาม

1 จงให้คำอธิบายอย่างชัดเจนว่าคำว่าการทรงเลือกที่ไม่มีเงื่อนไขได้หมายความว่าอะไร
2 ทำไมพระเจ้าเลือกคนที่พระองค์ทรงเลือก
3 แล้วพระเจ้าเลือกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
4 อะไรคือความจริงที่เกี่ยวข้องกับหลักคำสอนนี้ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากภาพประกอบในบทนี้
5 หลักคำสอนนี้ได้รับการสอนโดยทั่วไปในพระคัมภีร์หรือไม่ ถ้าใช่ขอให้ยกตัวอย่างให้ดูด้วย
6 การทรงเลือกโดยไม่มีเงื่อนไขเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกหรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
7 การทรงเลือกของพระเจ้าทำให้ความรอดเป็นเรื่องอัตโนมัติหรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
8 ผู้ที่ถูกเลือกนั้น ได้รับความรอดได้อย่างไร
9 อะไรคือสิ่งที่ผู้ที่รับการเลือกจะต้องทำบ้าง
10 ทำไมผู้ที่รับการเลือกจะต้องเข้ามายังพระคริสต์
11 ผู้ซึ่งต้องการได้รับความรอดนั้น สุดท้ายได้รอดหรือไม่ จงอธิบาย
12 อะไรคือความเป็นจริงสองอย่างที่หลักคำสอนนี้ช่วยเรามองเห็น



บทที่ 16

คำถามที่ 21 พระมหาไถ่ของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้คือผู้ใด
คำตอบ พระมหาไถ่ของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้มีแต่องค์เดียวคือ พระมหาเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระเจ้า ทรงลงมากำเนิดเป็นมนุษย์แต่คงมีสภาพพระเจ้าเต็ม คือมีสภาพเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ตลอดไป

(ใส่ข้อพระคัมภีร์ด้วย 4 ชุด)

ถ้าผู้ใดสังเกตคำว่า ¡°เพียงผู้เดียว¡± หรือ ¡°เพียงหนึ่งเดียว¡± ในข้อพระคัมภีร์เหล่านั้น ก็จะสามารถเข้าใจข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ได้ไม่ยาก เพราะว่าคำนี้เอาไว้สอนเราสำหรับสิ่งซึ่งสำคัญที่สุดซึ่งเราจำเป็นจะต้องรู้เพื่อที่จะได้รับความรอด ยกตัวอย่างเช่น จงนมัสการพระผู้เป็นเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว มัทธิว 4:10 นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์คือเขารู้จักผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว (ยอห์น 17:3) และพระเยซูผู้ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า (ยอห์น 3:16) ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า คำว่าพระองค์เดียวในข้อความเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก และบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบก็ได้เน้นย้ำความสำคัญของคำนี้ด้วย เพราะว่าพระเยซูเจ้านั้นพระองค์ทรงเป็นพระมหาไถ่ผู้เดียว ของผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเอาไว้ ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะไม่ได้ประทานนามอื่นที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอดแก่มนุษย์ทั่วใต้ฟ้า (กิจการ 4: 12) และพระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงได้รับการนมัสการและได้รับการรับใช้ นอกจากนี้ พระเยซูก็ยังทรงกล่าวว่า เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครจะสามารถ มาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา (ยอห์น 14 : 6) และพระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า ผู้ใดปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดาผู้ใดรับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย (1 ยอห์น 2:23) แล้วไม่มีคำสอนใดที่จะสำคัญยิ่งไปกว่าคำสอนนี้อีกแล้วในทุกวันนี้ เพราะพวกนักคิดสมัยใหม่ ได้เสนอแนวคิดของเรื่อง ¡°ความรอดแบบสากล¡± ซึ่งนั่นหมายความว่ามีความจริงที่จะช่วยให้รอดได้ในทุกศาสนา ถ้าผู้แสวงหานั้น แสวงหาด้วยความจริงใจและตั้งใจอย่างเพียงพอ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในแนวคิดหลักของพันธกิจในการรับใช้ของคริสตจักรต่างๆที่สังกัด World Council of Churches (WCC) เพราะแทนที่คนกลุ่มนี้จะส่งมิชชันนารีเพื่อไปเทศนาเรื่องพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในฐานะที่เป็นความหวังแหล่งเดียวของบรรดาคนบาปทั้งหลาย แต่พวกเขากลับส่งคนที่กำลังปรารถนาที่จะฟังพระกิตติคุณ และยัง บอกให้คนที่พูดและคนที่สอนพระกิตติคุณ ทำกระบวนการปรึกษาพูดคุยและทำการรอมชอม ซึ่งผลลัพธ์ของสิ่งนี้ก็กลายเป็นการรวมศาสนาต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งพวกเขาบอกว่าศาสนาใหม่นี้รวมเอาสิ่งดี ทั้งหมดจากศาสนาต่างๆรวมทั้งคริสต์ศาสนาด้วย อย่างไรก็ตามเราจะต้องรักษาจุดยืน และเราจะต้องรักษามุมมองที่ว่าพระเยซูคริสต์นั้นทรงเป็นพระมหาไถ่แต่เพียงผู้เดียวของบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะไม่ว่ามนุษย์จะพูดอย่างไร แต่ว่ามีทางเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นทางแคบ ที่นำเราสู่ชีวิต และใครก็ตามที่ไม่ ยอมรับในพระองค์ ก็อยู่ในทางกว้างซึ่งนำไปสู่ความพินาศ

แต่ทำไม ต้องเป็นพระเยซูที่เป็นพระมหาไถ่แต่เพียงผู้เดียวของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก คำตอบของเรื่องนี้ก็คือพระเยซูเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นพระมหาไถ่ เพราะว่าสภาพความเป็นพระเจ้าแท้ และความเป็นมนุษย์แท้ของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้หมายความว่า (1) พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าพระองค์ทรงมีเนื้อแท้เดียวกับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าพระองค์ทรงไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด ทรงเป็นนิรันดร์กาล และทรงไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ในความเป็นพระองค์ ในสติปัญญา ในฤทธิ์อำนาจ ในความบริสุทธิ์ ในความยุติธรรม ในความดี และในความจริง ทั้งนี้ไม่มีทางอื่นที่เราจะสามารถจะให้เกียรติพระบิดา โดยที่ไม่ให้เกียรติพระบุตรไปด้วย เรารู้เรื่องนี้ได้จาก 4 สิ่งซึ่งเราสามารถ ค้นพบได้ในพระคัมภีร์ก็คือ (a) พระเยซูคริสต์ได้รับการเรียกว่าเป็นพระเจ้า (อิสยาห์ 9:6, ยอห์น 20:28) (b) พระองค์ทรงมีพระลักษณะของพระเจ้า (ยอห์น 1:1 ยอห์น 2:24-25 ) (c) พระองค์ทรงสามารถกระทำพระราชกิจอันเปี่ยมไปด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า (ยอห์น 5:21 , โคโลสี 1:16) (d) พระองค์ได้รับการนมัสการซึ่ง เป็นการนมัสการของพระเจ้าเท่านั้น (ยอห์น 20:28, วิวรณ์ 5:12-14) จากหลักฐานทางพระคัมภีร์เช่นนี้ เราจะเห็นได้ว่า มีคนมากมายในทุกวันนี้ผู้ซึ่งปฏิเสธพระคริสต์แห่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ ทั้งๆที่เขาอ้างตัวว่าเชื่อพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่นพวกพยานพระยะโฮวาห์ เขาเชื่อว่าพระเยซูมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าพระเยซูนั้น เป็นสิ่งที่ได้รับการทรงสร้างจากพระบิดา และเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเท่าเทียมกับพระบิดา นักคิดหัวสมัยใหม่ก็เชื่อว่า พระเยซูนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ เช่นกัน แต่ก็ไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เท่าเทียมกับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบางครั้งแม้กระทั่งคริสเตียนในสายปกติก็ปฏิบัติตัวราวกับว่าเขาไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่เสมอเหมือนกับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเราเห็นสิ่งนี้ได้จากการที่เขาทำรูปของพระเยซู เพราะว่าจะเห็นได้ว่า โดยปกติแล้วผู้เชื่อจะคิดว่าเป็นการไม่สมควรที่จะทำรูปเหมือนของพระบิดา หรือทำรูปเหมือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พอมาถึงพระบุตรเขาไม่คิดเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์เองนั้น ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเนื้อแท้แห่งความเป็นพระเจ้า

และพระเยซูคริสต์ก็ได้รับการมอบหมายให้ลงมาเป็นมนุษย์ด้วยตัวพระองค์เอง และรับเอาธรรมชาติของมนุษย์อย่างเต็มที่ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์นกล่าวว่า พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา (ยอห์น 1:14)

อย่างไรก็ตามเราจะมาอภิปรายใน ส่วนต่อไปถึงเรื่องวิธีการที่พระวาทะสามารถมาเป็นเนื้อหนังได้ ตอนนี้ขอให้เราโฟกัสความตั้งใจของเราไปที่ ผลลัพธ์ของเหตุการณ์นี้ ซึ่งผลลัพธ์นั้นก็คือการที่พระบิดา และพระบุตรมาเป็นมนุษย์ โดยไม่ต้องหยุดเป็นพระเจ้า หรือจะพูดความจริงอันเดียวกันนี้ได้อีกแบบหนึ่งว่า สภาพธรรมชาติของพระเจ้าได้มาเป็นหนึ่งเดียวในธรรมชาติของมนุษย์ โดยไม่ต้อง หมุนเปลี่ยน โดยไม่ต้องเอามาประกอบกัน โดยไม่ต้องมีความสับสน กล่าวคือ (1) มีบางคนในคริสตจักร ยุคโบราณยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่รู้สึกว่าการมาบังเกิดของมนุษย์ ซึ่งหมายถึงพระเยซูนั้นรับเอาธรรมชาติของมนุษย์ พวกนี้เชื่อว่าการบังเกิดของพระเยซูเป็น ผลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงไม่อย่างใดอย่างหนึ่งของธรรมชาติสองอย่างนี้ซึ่งหมายถึงว่าธรรมชาติของพระเจ้าและธรรมชาติของมนุษย์ บางคนก็เชื่อว่าธรรมชาติแห่งความเป็นพระเจ้านั้นได้รับการลดลงโดยการที่พระองค์ทรงมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงไม่เป็นเนื้อเดียวกันที่เทียบเท่ากับพระบิดาได้อีกแล้ว แล้วไม่เป็นเนื้อเดียวกันเมื่อเทียบเท่ากับทุกอย่างบริสุทธิ์ด้วย แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็คิดว่าสภาพความเป็นมนุษย์ของพระองค์ จะถูกยกขึ้นให้เทียบเท่ากับสภาพเดิมความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ซึ่งจะทำให้พระองค์ไม่เป็นมนุษย์ที่เหมือนกับพวกเราอีกต่อไป อย่างไรก็ตามบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นได้ โต้แย้งความคิดเหล่านี้โดยยึดถือแนวคิดที่ว่าธรรมชาติของความเป็นพระเจ้าของพระองค์ยังคงมีอยู่อย่างสมบูรณ์ แล้วธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ก็ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ด้วย (2) บางคนก็เชื่อว่า การมาบังเกิดของพระองค์ต้องมีการผสมระหว่างธรรมชาติ 2 อย่าง ดังนั้นพระเยซู จะไม่มีทั้ง สภาพ พระเจ้าหรือสภาพมนุษย์เพราะว่าสภาพทั้งสองอย่างผสมกันครึ่งทางกลายเป็นพระองค์ ประมาณว่าเป็นไฮโดรเจนส่วนหนึ่งผสมกับออกซิเจนอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็กลายเป็นน้ำซึ่งตอนนี้เป็นของเหลวไม่ใช่ก๊าซ เหมือนอย่างสารตั้งต้นทั้งสองอย่าง ซึ่งนี่ก็เป็นมุมมองคล้ายๆกับคำสอนของพวกพยานพระยะโฮวาห์เพราะว่าเขาไม่ได้มอว่าพระเจ้าของเรานั้น เป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้และเป็นมนุษย์แท้แต่ เขาจะให้พระองค์เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และแน่นอนว่าบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบนั้นยังรักษาบูรณภาพของความเป็นธรรมชาติทั้ง 2 อย่างของพระคริสต์เอาไว้ด้วยกัน (3) บางคนก็ พร้อมที่จะเชื่อในมุมมองดั้งเดิมว่าพระเยซูเจ้ามีธรรมชาติ 2 อย่างซึ่งไม่มีการเปลี่ยน ไม่มีการควบรวม แต่ เขาทำความผิดพลาดในทางความคิดก็คือว่า เขาคิดว่าถ้าเรื่องนี้จะเป็นจริงได้พระองค์ต้องมีความแตกต่าง 2 ประการหรือมีบุคลิกที่แยกออกจากกัน คนกลุ่มนี้มองว่าพระคริสต์นั้นเป็น 2 บุคคล ก็คือพระคริสต์ผู้ที่เป็นพระเจ้ากับอีกบุคคลหนึ่งคือพระคริสต์ที่เป็นมนุษย์ ประมาณว่าเอาแนวคิดแบบตรีเอกานุภาพมาใช้ในกรณีนี้ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่บทเรียนพระคัมภีร์ เด้วยการถามตอบยืนยันว่า พระคริสต์ไม่ได้เป็น 2 บุคคล พระองค์เป็นบุคคลเดียว พระองค์ทรงเป็น บุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะพระเจ้า และได้ส่งพระองต์พระองค์เองมารับเอาธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรง มีบุคลิกภาพแห่งมนุษย์ซึ่งทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งนั่นคือความเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ และได้คงไว้ซึ่งความแตกต่างระหว่างธรรมชาติทั้ง 2 อย่าง ซึ่งก็เป็นไปตามหลักข้อเชื่อที่ได้กล่าวว่า เฉกเช่นที่ เนื้อหนังและวิญญาณรวมกันเป็นมนุษย์ 1 คน ดังนั้นพระเจ้าและมนุษย์จึงรวมกันเป็นพระคริสต์

จากแผนภาพ เราจะเห็นได้ว่ามีธรรมชาติ 2 อย่างของพระคริสต์ซึ่งมีความแตกต่างกันแต่รวมเป็นหนึ่งเดียวในบุคคลเดียว ตลอดนิรันดร์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่า มีความ ผิดพลาดที่รับการสอนโดยศาสนจักรโรมันคาทอลิกและ คริสตจักรลูเธอร์แรน ซึ่งทั้งสองคณะนี้สอนว่าธรรมชาติมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ตอนนี้สามารถที่จะสำแดงได้ในหลายๆสถานที่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาบอกว่าธรรมชาติความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์นั้นตอนนี มีอยู่ทั่วทุกแห่ง แต่พระคัมภีร์ได้บอก อย่างชัดเจนตอนที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย เพราะมีคนบอกว่า พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่พระองค์เป็นขึ้นแล้ว (ลูกา 24:6) และพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า พระองค์จะต้องอยู่ในสวรรค์จนกว่าจะถึงวาระที่พระเจ้าทรงให้สิ่งสารพัดคืนสู่สภาพดีตามที่ได้ทรงสัญญาไว้นานมาแล้วผ่านทางเราผู้เผยพระวจนะอันบริสุทธิ์ของพระองค์ (กิจการ 3: 21) และแม้แต่ในตอนอาหารค่ำมื้อสุดท้ายก็มีการบอกว่าเพื่อเป็นที่ ¡°ระลึกถึง¡± พระคริสต์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้ย้ำก็คือการที่พระคริสต์นั้น ในตอนนี้ได้ครอบครองทั้ง 2 ธรรมชาติ ก็คือธรรมชาติความเป็นพระเจ้าและธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ อยู่ในที่ใดที่หนึ่งอย่างเจาะจงในตอนนี้ สรุปแล้วบทเรียนนี้ได้สอนเราถึงความหมายของวลีสั้นๆที่ว่า ¡°พระเยซูคริสต์เจ้า¡± (1) คำว่าเจ้าหรือคำว่าองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นก็เป็นเหมือนพระบิดาพระองค์เอง ซึ่งสามารถย้อนกลับไปถึงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นซึ่งเราเป็น ซึ่งนี่เป็นการประกาศของ การประกอบด้วยพระองค์เองและการที่พระองค์ทรงมีความเพียงพออยู่ในพระองค์เอง ซึ่งพระเยซูคริสต์ก็เป็นเช่นนี้ (2) คำว่าพระเยซูก็เป็นเหมือนโยชูวาในพระคัมภีร์เดิม ซึ่ง เป็น ชื่อที่มีความสำคัญในด้าน อื่นๆด้วย (3) คำว่าคริสต์นั้นหมายถึงผู้ที่รับการทรงเจิม ซึ่งสิ่งนี้ได้ชี้ข้อเท็จจริงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระแม่สีดา แล้วตอนนี้ สิ่งที่บทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบได้สอนเรา นั้นก็คือ เรื่องของพระมหาไถ่ผู้เดียว ทรงเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระเจ้า ทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่คงมีสภาพพระเจ้าเต็ม คือมีสภาพเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ตลอดไป

คำถาม

1 ทำไมคำว่า ¡°เพียงพระองค์เดียว¡± จึงมีความสำคัญในคำถามของบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ
2 คำว่าพวกนิยมความรอดสากล สอนว่าอย่างไร และกลุ่มนี้คือกลุ่มไหน
3 อะไรคือการ พูดคุยปรึกษากันทางศาสนา แล้วจุดประสงค์ของสิ่งนี้คืออะไร
4 ทำไมพระเยซูจึงเป็นพระมหาไถ่พระองค์เดียว
5 เรารู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า
6. ขอให้ยกตัวอย่างของการปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์
7 ผิดไหมที่จะใช้รูปของพระเยซูคริสต์ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
8 จากในภาพประกอบ แสงสว่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นสื่อถึงอะไร แล้วลำแสงอีกอันนั้นสื่อถึงอะไร
9 คำสอนที่กำหนดเอาไว้ในบทเรียนพระคัมภีร์ด้วยการถามตอบ ที่ได้รับการปฏิเสธ 3 อย่างคืออะไร
10 อะไรคือคำสอนที่ผิดของโรมันคาทอลิกและลูเทอแรนให้อธิบาย
11 ให้ แสดงว่าคำสอนของ 2 คณะดังกล่าวผิดอย่างไร โดยใช้พระคัมภีร์พิสูจน์
12 วลีที่ว่า ¡°พระเยซูคริสต์เจ้า¡± สามารถนำมาเป็นการสรุปบทเรียนนี้ได้อย่างไร ให้อธิบาย


2018-08-27 13:32:35


   

°ü¸®Àڷα×ÀÎ~~ Àüü 293°³ - ÇöÀç 2/20 ÂÊ
278
Dr. Chana
2020-01-17
345
277
Dr. Chana
2019-12-26
307
276
Dr. Chana
2019-09-16
347
275
Dr. Chana
2019-09-16
439
274
Dr. Chana
2019-09-16
435
273
Dr. Chana
2019-09-16
328
272
Dr. Seung H
2019-09-09
329
271
Dr. Chana
2019-08-10
459
270
Á¤½Âȸ
2019-08-04
434
269
Dr. Chana
2019-07-26
310
268
Dr. Chana
2019-07-10
335
267
Dr. Chana
2019-05-11
356
266
Dr. Chana
2019-02-15
361
265
Dr. Chana
÷ºÎÈ­ÀÏ : PTS Entrya.doc (101888 Bytes)
2019-01-26
392
264
Dr. Chana
2019-01-13
385